การพาลูกเที่ยว
เขียนโดย
Chompupan
on วันอังคารที่ 23 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2553
การพาลูกเที่ยวควรพาลูกออกไปท่องเที่ยวในลักษณะของการผจญภัยและเรียนรู้จากโลกกว้างบ้าง อย่าส่งเสริมให้ลูกเล่นแต่เกมคอมพิวเตอร์หรือเล่นสนุกสนานแต่ภายในบ้านเพียงแค่นั้น แน่นอนว่าพ่อแม่ทุกคนย่อมห่วงความปลอดภัยของลูกแต่ คิดว่าเมื่ออยู่กับลูกตลอดเวลาอันตรายต่างๆ ย่อมไม่เกิดขึ้นกับลูกน้อยอย่างแน่นอน
การที่ ส่งเสริมให้ลูกออกไปเที่ยวในลักษณะของการผจญภัยบ้างเป็นการกระตุ้นให้เด็กได้เรียนรู้ ได้เก็บเกี่ยวประสบการณ์ ซึ่งอาจจะทำให้เด็กได้เรียนรู ้ไวกว่าเด็กคนอื่นในวัยเดียวกับเขา
เราอาจจะเคยสังเกตเห็นว่าฝรั่งมักจะพาลูกเล็กๆ ไปเที่ยวเชิงผจญภัยกันเป็นส่วนใหญ่ เช่น พาลูกไปตั้งแคมป์บนป่าเขา พาลูกไปท่องเที่ยวตากอากาศในสถานที่ที่ไม่ได้มีเครื่องอำนวยความสะดวกมากมายนัก ทำให้เด็กได้เก็บเกี่ยวประสบการณ์อย่างเป็นธรรมชาติโดยเป็นประสบการณ์ตรงและเด็กจะได้เรียนรู้จากตัวเองอย่างแท้จริงไม่ใช่แค่คำบอกเล่า หรือคำสั่งสอนจากพ่อแม่และครูเท่านั้น
การท่องเที่ยวเป็นกิจกรรมที่เสริมพัฒนาการของเด็กได้มากที่สุดแต่ทั้งนี้เราจะต้องเลือกการท่องเที่ยวที่หลากหลายออกไปโดยส่งเสริมให้เด็กได้ใช้ชีวิตอย่างผจญภัยบ้าง ทำให้เด็กได้เรียนรู้ถึงการพึ่งพาตนเองและการแก ้ไขปัญหาเฉพาะหน้าต่างๆ นอกจากนี้จะได้เรียนรู้เรื่องของธรรมชาติและโลกกว้างอย่างที่เด็กอาจจะค้นพบสิ่ง
ที่ตนเองสนใจได้ ทั้งนี้ทั้งนั้นน่าจะต้องคอยดูแลความปลอดภัยของลูกอย่างใกล้ชิดด้วย
เลิกใช้ผ้าอ้อมเมื่อไหร่ดี
เขียนโดย
Chompupan
on วันอาทิตย์ที่ 21 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2553
เลิกใช้ผ้าอ้อมเมื่อไหร่ดี
ลูกยังใส่ผ้าอ้อมสำเร็จรูปนอนอยู่ ปกติแล้วเด็กควรจะเลิกใช้ผ้าอ้อมตอนกลางคืนตอนอายุเท่าไหร่ตอนนี้ลูกยังบอกตอนฉี่ไม่ได้ เราจะใช้เวลาจับฉี่เป็นระยะๆส่วนลูกคนเล็กสบายดี อารมณ์ดีกว่า กินง่ายกว่ากันเยอะ แข็งแรงมาก กำลังตั้งไข่ กำลังพูด ดิฉันเหนื่อยที่สุด ของท่สุดในระยะ 3 ปีที่ผ่านมา แต่ก็มีความสุขที่สุดเช่นกันที่ได้เห็นทั้ง 2 คนเล่นกันตีกัน แย่งของกัน คงจะต้องเหนื่อยถาวรอย่างนี้นาน แต่ก็ยินดีค่ะ
สำหรับการใช้ผ้าอ้อมสำเร็จรูปตอนกลางคืนนั้นเด็กจะเลิกใช้ได้ในอายุที่แตกต่างกันไป ขึ้นอยู่กับว่าทารกจะสามารถหยุดปัสสาวะรดอยู่ที่นอนในเวลากลางคืนเมื่ออายุ
เท่าไหร่ ส่วนมากเด็กจะหยุดปัสสาวะรดที่นอนตอนกลางคืน ก่อนอายุ 4-5 ปีซึ่งควรจะลดนมมื้อกลางดึกและนมมื้อก่อนเข้านอนด้วย คืออาจจะให้กินนมช่วงหลังอาหารเย็นหรือตอนหัวค่ำแทน
คุณแม่จะรู้ว่าลูกพร้อมจะหยุดหรือเลิกใช้ผ้าอ้อมก็จากการสังเกตในตอนเช้าว่า ผ้าอ้อมที่เขาใส่ก่อนนอนนั้นมีปัสสาวะหรือเปล่า เมื่อเด็กพร้อมที่จะเลิกในบางเช้า
ผ้าอ้อมจะแห้ง หากผ้าอ้อมแห้งติดต่อกันหลายๆวัน คุณแม่ก็ลองเลิกใช้ผ้าอ้อมได้ โดยในช่วงแรกๆหากกลัวว่าเด็กจะฉี่รดที่นิฃอนซึ่งอาจจะมีพลาดได้ในบางวัน คุณแม่ก็ใช้ผ้าพลาสติกปูรองใต้ผ้าปูที่นอนกันไว้ก่อน
หวังว่าคุณแม่จะเหนื่อยน้อยลงเรื่อยๆตามลำดับในการเลี้ยงลูกน่ารักทั้งสองคนและขอให้มีความสุขกับการเลี้ยงลูกมากๆขึ้นตลอดไป
ลูกยังใส่ผ้าอ้อมสำเร็จรูปนอนอยู่ ปกติแล้วเด็กควรจะเลิกใช้ผ้าอ้อมตอนกลางคืนตอนอายุเท่าไหร่ตอนนี้ลูกยังบอกตอนฉี่ไม่ได้ เราจะใช้เวลาจับฉี่เป็นระยะๆส่วนลูกคนเล็กสบายดี อารมณ์ดีกว่า กินง่ายกว่ากันเยอะ แข็งแรงมาก กำลังตั้งไข่ กำลังพูด ดิฉันเหนื่อยที่สุด ของท่สุดในระยะ 3 ปีที่ผ่านมา แต่ก็มีความสุขที่สุดเช่นกันที่ได้เห็นทั้ง 2 คนเล่นกันตีกัน แย่งของกัน คงจะต้องเหนื่อยถาวรอย่างนี้นาน แต่ก็ยินดีค่ะ
สำหรับการใช้ผ้าอ้อมสำเร็จรูปตอนกลางคืนนั้นเด็กจะเลิกใช้ได้ในอายุที่แตกต่างกันไป ขึ้นอยู่กับว่าทารกจะสามารถหยุดปัสสาวะรดอยู่ที่นอนในเวลากลางคืนเมื่ออายุ
เท่าไหร่ ส่วนมากเด็กจะหยุดปัสสาวะรดที่นอนตอนกลางคืน ก่อนอายุ 4-5 ปีซึ่งควรจะลดนมมื้อกลางดึกและนมมื้อก่อนเข้านอนด้วย คืออาจจะให้กินนมช่วงหลังอาหารเย็นหรือตอนหัวค่ำแทน
คุณแม่จะรู้ว่าลูกพร้อมจะหยุดหรือเลิกใช้ผ้าอ้อมก็จากการสังเกตในตอนเช้าว่า ผ้าอ้อมที่เขาใส่ก่อนนอนนั้นมีปัสสาวะหรือเปล่า เมื่อเด็กพร้อมที่จะเลิกในบางเช้า
ผ้าอ้อมจะแห้ง หากผ้าอ้อมแห้งติดต่อกันหลายๆวัน คุณแม่ก็ลองเลิกใช้ผ้าอ้อมได้ โดยในช่วงแรกๆหากกลัวว่าเด็กจะฉี่รดที่นิฃอนซึ่งอาจจะมีพลาดได้ในบางวัน คุณแม่ก็ใช้ผ้าพลาสติกปูรองใต้ผ้าปูที่นอนกันไว้ก่อน
หวังว่าคุณแม่จะเหนื่อยน้อยลงเรื่อยๆตามลำดับในการเลี้ยงลูกน่ารักทั้งสองคนและขอให้มีความสุขกับการเลี้ยงลูกมากๆขึ้นตลอดไป
การพูดคุยกันระหว่างครอบครัว
เขียนโดย
Chompupan
on วันเสาร์ที่ 20 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2553
การพูดคุยกันระหว่างครอบครัว
เด็กเก่งส่วนใหญ่นั้น จะเป็นเด็กที่ได้พูดคุยกับพ่อแม่และสมาชิกในครอบครัวอยู่ตลอดเวลา สังเกตง่ายๆ เด็กที่มีความขี้อาย ค่อนข้างมากหรือเด็กที่ค่อนข้างเก็บกดเมื่อไปดูที่บ้านแล้วจะพบว่าพ่อแม่จะไม่ค่อยได้พูดคุยกับเขามากนัก
ถ้าเราอยากให้ลูกเก่งเราจะต้องหมั่นพูดคุยกับลูกอยู่เสมอไม่ว่าจะเป็นเรื่องเล็กๆ น้อยๆ จนถึงเรื่อง ที่จะให้ข้อมูลความรู้กับลูก เพราะการที่พูดคุยกันนั้น เป็นการกระตุ้นพัฒนาการให้ลูกได้มีการติดต่อสื่อสารที่ดี
ในการพูดคุยกันนั้นพ่อแม่จะเป็นฝ่ายถามบ้างตอบบ้าง และลูกก็จะรู้จักเรียนรู้ทักษะในการถาม การหาคำตอบ การใช้ความคิดการแสดงความคิดเห็น รวมถึงการใช้เหตุผลหรือเรียนรู้ที่จะโต้แย้งคัดค้าน และมองต่างไปจากคนอื่นบ้าง
การพูดคุยกับลูกทำให้เราสามารถอบรมสั่งสอนลูกได้ถ้าเราได้ยินได้ฟังในสิ่งที่ลูกมีทัศนคติที่ผิดในเรื่องใดเรื่องหนึ่ง หรือได้รับรู้ข้อมูลผิดๆ อย่างอื่นมาเราจะได้แก้ไขให้ลูกอย่างถูกทางได้สามารถแนะนำและเสริมส่วนที่ควรจะรู้ในสิ่งอื่นๆ
เด็กที่พูดคุยกับพ่อแม่บ่อยจะเป็นคนที่กล้าพูดกล้าแสดงความคิดเห็นและยังเรียนรู้ยังไม่รู้ตัวว่าเขาควรจะยอมรอมชอมกับผู้อื่นหรือเป็นฝ่ายปลอบผู้อื่นบ้าง เป็นฝ่ายซักถามหรือเรียนรู้ที่จะตอบเลี่ยงไปอย่างอื่นอย่างใด การคุยกันนั้น เป็นการฝึกพัฒนาการของลูกได้อย่างกว้างขวางได้ละเอียดลึกซึ้งอย่างมากมายเพราะการคุยกันนั้นพ่อแม่และลูกสามารถที่จะคุยกันได้ในทุกๆ เรื่อง ส่วนที่พ่อแม่จะต้องใส่ใจก็คือพยายามหาหัวข้อในเรื่องน่าสนใจมาคุยกับลูกบ้างพยายามคุยกับลูกในเรื่องที่เขาได้เรียนรู้มากขึ้นไปเรื่อยๆพยายามหาหัวข้อที่หลากหลายนอกจากคุยเรื่องการ์ตูน เรื่องเพื่อนของลูกก็อาจคุยเรื่องอื่นๆ ที่พ่อแม่ตั้งคำถามกับลูกว่าเขามีความคิดเห็นหรือความรู้สึกอย่างไร
บางครั้งอาจจะให้ลูกเป็นฝ่ายเล่าเรื่องที่เขามีความรู้สึกไม่ชอบใจหรือประทับใจด้วยก็ได้
เด็กเก่งส่วนใหญ่นั้น จะเป็นเด็กที่ได้พูดคุยกับพ่อแม่และสมาชิกในครอบครัวอยู่ตลอดเวลา สังเกตง่ายๆ เด็กที่มีความขี้อาย ค่อนข้างมากหรือเด็กที่ค่อนข้างเก็บกดเมื่อไปดูที่บ้านแล้วจะพบว่าพ่อแม่จะไม่ค่อยได้พูดคุยกับเขามากนัก
ถ้าเราอยากให้ลูกเก่งเราจะต้องหมั่นพูดคุยกับลูกอยู่เสมอไม่ว่าจะเป็นเรื่องเล็กๆ น้อยๆ จนถึงเรื่อง ที่จะให้ข้อมูลความรู้กับลูก เพราะการที่พูดคุยกันนั้น เป็นการกระตุ้นพัฒนาการให้ลูกได้มีการติดต่อสื่อสารที่ดี
ในการพูดคุยกันนั้นพ่อแม่จะเป็นฝ่ายถามบ้างตอบบ้าง และลูกก็จะรู้จักเรียนรู้ทักษะในการถาม การหาคำตอบ การใช้ความคิดการแสดงความคิดเห็น รวมถึงการใช้เหตุผลหรือเรียนรู้ที่จะโต้แย้งคัดค้าน และมองต่างไปจากคนอื่นบ้าง
การพูดคุยกับลูกทำให้เราสามารถอบรมสั่งสอนลูกได้ถ้าเราได้ยินได้ฟังในสิ่งที่ลูกมีทัศนคติที่ผิดในเรื่องใดเรื่องหนึ่ง หรือได้รับรู้ข้อมูลผิดๆ อย่างอื่นมาเราจะได้แก้ไขให้ลูกอย่างถูกทางได้สามารถแนะนำและเสริมส่วนที่ควรจะรู้ในสิ่งอื่นๆ
เด็กที่พูดคุยกับพ่อแม่บ่อยจะเป็นคนที่กล้าพูดกล้าแสดงความคิดเห็นและยังเรียนรู้ยังไม่รู้ตัวว่าเขาควรจะยอมรอมชอมกับผู้อื่นหรือเป็นฝ่ายปลอบผู้อื่นบ้าง เป็นฝ่ายซักถามหรือเรียนรู้ที่จะตอบเลี่ยงไปอย่างอื่นอย่างใด การคุยกันนั้น เป็นการฝึกพัฒนาการของลูกได้อย่างกว้างขวางได้ละเอียดลึกซึ้งอย่างมากมายเพราะการคุยกันนั้นพ่อแม่และลูกสามารถที่จะคุยกันได้ในทุกๆ เรื่อง ส่วนที่พ่อแม่จะต้องใส่ใจก็คือพยายามหาหัวข้อในเรื่องน่าสนใจมาคุยกับลูกบ้างพยายามคุยกับลูกในเรื่องที่เขาได้เรียนรู้มากขึ้นไปเรื่อยๆพยายามหาหัวข้อที่หลากหลายนอกจากคุยเรื่องการ์ตูน เรื่องเพื่อนของลูกก็อาจคุยเรื่องอื่นๆ ที่พ่อแม่ตั้งคำถามกับลูกว่าเขามีความคิดเห็นหรือความรู้สึกอย่างไร
บางครั้งอาจจะให้ลูกเป็นฝ่ายเล่าเรื่องที่เขามีความรู้สึกไม่ชอบใจหรือประทับใจด้วยก็ได้
การสร้างความอดทนให้เด็ก
เขียนโดย
Chompupan
on วันอาทิตย์ที่ 7 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2553
ลูกๆ จะเป็นเด็กเก่งไม่ได้ถ้าขาดความอดทนเพียงตัวเดียวเท่านั้น เด็กทุกคนมีความอดทนน้อยตามวัยของเขา แต่การปลูกฝังให้ลูกมีความอดทนนี้เป็นสิ่งสำคัญอย่างยิ่ง และจำเป็นจะต้องสอนลูกให้มีความอดทนอดกลั้นอยู่ตลอดเวลาในทุกๆ เรื่อง
ถ้าลูกอยากกินขนมหรือหิวข้าวบางครั้งเราอาจจะสอนลูกว่าควรจะอดทนอีกสักครู่ และต้องให้เหตุผลลูกอย่างกระจ่างด้วยว่าเพราะอะไรเขาจึงจะต้องอดทน อย่าเพียงบอกว่าทนไปก่อนยังไม่ถึงเวลา เพราะการให้ลูกอดทนอย่างนั้นเท่ากับเป็นการบังคับลูกให้ต้องอดทน แต่ต้องสอนให้ลูกเข้าใจว่าควรจะอดทนเพราะอะไร
และในการสอนให้ลูกรู้จักอดทนรอเวลานั้น พ่อแม่เองจะต้องรักษาสัญญาและรักษาเวลากับลูกด้วย ยกตัวอย่าเช่น ถ้าแม่พูดว่า “ลูกจะต้องรออีกสักครู่ เพราะเราควรจะกินอาหารพร้อมกับคุณพ่อ”
เมื่อถึงเวลาสักครู่ตามสมควรแล้วคุณจะต้องรักษาสัญญานั้นด้วยการอนุญาตให้ลูกกินอาหารได้แม้ว่าคุณพ่อจะยังเดินทางมาไม่ถึงก็ตาม
นอกจากการให้เหตุผลในแต่ละข้อในการสอนให้ลูกอดทนแล้วพ่อแม่ยังจะต้องทำให้ลูกเข้าใจด้วยว่าการอดทนนั้นมันมีความสำคัญ และมีความจำเป็นอย่างไรในการใช้ชีวิต
ทำให้ลูกเรียนรู้ไปตั้งแต่เล็กๆ ว่าความอดทนอดกลั้นเป็นคุณสมบัติหนึ่งของคนที่มีความสามารถในการควบคุมอารมณ์ของตนเอง รู้จักที่จะยับยั้งและหักห้ามใจได้ซึ่งจะทำให้เรากลายเป็นคนมีอารมณ์อันมั่นคง สามารถที่จะดำเนินชีวิตอยู่ในสังคมและมีปฏิสัมพันธ์กับคนอื่นได้ง่าย มีความอดทนอดกลั้นมากพอที่จะไม่สร้างความขัดแย้งกับคนอื่นโดยไม่จำเป็น
แต่ทั้งนี้ในการสอนให้ลูกมีความอดทนเป็นนั้นจะต้องอธิบายให้ลูกเข้าใจด้วยว่า การอดทนนั้นเป็นการอดทนอดกลั้นรอเวลาที่เหมาะสม มิใช่เป็นการยินยอมตามคนอื่นหรือยอมตามสถานการณ์อยู่ตลอดเวลายกตัวอย่างเช่น ถ้าเราเข้าแถวรอเข้าห้องน้ำอยู่แล้วมีคนมาแซงคิวคุณก็จะต้องสอนให้ลูกกล้าพอที่จะบอกใครคนนั้นว่าเขากำลังแซงคิวเรา อย่าจำยอมอดทนให้คนอื่นแซ.คิวไปก่อนในขณะที่ทางเราก็ต้องการที่จะเข้าห้องน้ำและเราก็เข้าแถวรอคิวเป็นคนแรกแล้ว การอดทนในที่นี้คือการสอนให้ลูกรู้จักเวลาอันเหมาะสม รู้จักอดกลั้น รู้จักหักห้ามใจ และควบคุมอารมณ์ตนเอง เพราะถ้าไม่สอนให้ลูกรู้จักอดทนเลยลูกก็จะเอาแต่ใจตัวเอง แล้วเรียกร้องต้องการให้คนอื่นรอบข้างมาเอาใจตนเองแต่เพียงผู้เดียวอีกด้วย
ถ้าลูกอยากกินขนมหรือหิวข้าวบางครั้งเราอาจจะสอนลูกว่าควรจะอดทนอีกสักครู่ และต้องให้เหตุผลลูกอย่างกระจ่างด้วยว่าเพราะอะไรเขาจึงจะต้องอดทน อย่าเพียงบอกว่าทนไปก่อนยังไม่ถึงเวลา เพราะการให้ลูกอดทนอย่างนั้นเท่ากับเป็นการบังคับลูกให้ต้องอดทน แต่ต้องสอนให้ลูกเข้าใจว่าควรจะอดทนเพราะอะไร
และในการสอนให้ลูกรู้จักอดทนรอเวลานั้น พ่อแม่เองจะต้องรักษาสัญญาและรักษาเวลากับลูกด้วย ยกตัวอย่าเช่น ถ้าแม่พูดว่า “ลูกจะต้องรออีกสักครู่ เพราะเราควรจะกินอาหารพร้อมกับคุณพ่อ”
เมื่อถึงเวลาสักครู่ตามสมควรแล้วคุณจะต้องรักษาสัญญานั้นด้วยการอนุญาตให้ลูกกินอาหารได้แม้ว่าคุณพ่อจะยังเดินทางมาไม่ถึงก็ตาม
นอกจากการให้เหตุผลในแต่ละข้อในการสอนให้ลูกอดทนแล้วพ่อแม่ยังจะต้องทำให้ลูกเข้าใจด้วยว่าการอดทนนั้นมันมีความสำคัญ และมีความจำเป็นอย่างไรในการใช้ชีวิต
ทำให้ลูกเรียนรู้ไปตั้งแต่เล็กๆ ว่าความอดทนอดกลั้นเป็นคุณสมบัติหนึ่งของคนที่มีความสามารถในการควบคุมอารมณ์ของตนเอง รู้จักที่จะยับยั้งและหักห้ามใจได้ซึ่งจะทำให้เรากลายเป็นคนมีอารมณ์อันมั่นคง สามารถที่จะดำเนินชีวิตอยู่ในสังคมและมีปฏิสัมพันธ์กับคนอื่นได้ง่าย มีความอดทนอดกลั้นมากพอที่จะไม่สร้างความขัดแย้งกับคนอื่นโดยไม่จำเป็น
แต่ทั้งนี้ในการสอนให้ลูกมีความอดทนเป็นนั้นจะต้องอธิบายให้ลูกเข้าใจด้วยว่า การอดทนนั้นเป็นการอดทนอดกลั้นรอเวลาที่เหมาะสม มิใช่เป็นการยินยอมตามคนอื่นหรือยอมตามสถานการณ์อยู่ตลอดเวลายกตัวอย่างเช่น ถ้าเราเข้าแถวรอเข้าห้องน้ำอยู่แล้วมีคนมาแซงคิวคุณก็จะต้องสอนให้ลูกกล้าพอที่จะบอกใครคนนั้นว่าเขากำลังแซงคิวเรา อย่าจำยอมอดทนให้คนอื่นแซ.คิวไปก่อนในขณะที่ทางเราก็ต้องการที่จะเข้าห้องน้ำและเราก็เข้าแถวรอคิวเป็นคนแรกแล้ว การอดทนในที่นี้คือการสอนให้ลูกรู้จักเวลาอันเหมาะสม รู้จักอดกลั้น รู้จักหักห้ามใจ และควบคุมอารมณ์ตนเอง เพราะถ้าไม่สอนให้ลูกรู้จักอดทนเลยลูกก็จะเอาแต่ใจตัวเอง แล้วเรียกร้องต้องการให้คนอื่นรอบข้างมาเอาใจตนเองแต่เพียงผู้เดียวอีกด้วย
เพื่อตัวเอง
เขียนโดย
Chompupan
on วันจันทร์ที่ 1 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2553
พ่อแม่ทุกคนย่อมอยากให้ลูกเป็นเด็กเก่งเป็นเด็กที่มีความสามารถแต่การจะปลูกฝังกระตุ้นวุฒิภาวะของลูกนั้นพ่อแม่ควรจะต้องระลึกไว้เสมอว่า ควรสอนเพื่อตัวเองมิใช่ให้ลูกเก่งเพื่อความภาคภูมิใจของพ่อแม่
ดังนั้นในแต่ละเรื่องที่พ่อแม่กระตุ้นพัฒนาการและเสริมส่งวุฒิภาวะของลูกควรจะต้องให้ลูกรู้สึกภาคภูมิใจในตนเองด้วย พร่ำพูดว่าแต่ จะต้องทำอย่างนั้นอย่างนี้เพื่อให้พ่อแม่พอใจและภูมิใจเมื่อมองว่าลูกมีความสามารถทำสิ่งใดได้อย่างน่าทึ่งพ่อแม่ก็ควรจะชื่นชมให้ลูกรู้ว่าพ่อแม่มีความภูมิใจในตัวเขา ซึ่งมันเป็นเรื่องที่แตกต่างระหว่างการย้ำให้ลูกรู้ว่าต้องทำอย่างนั้นอย่างนี้เพื่อพ่อแม่ แต่จงให้ลูกรู้สึกว่าถ้าทำอะไร ได้เป็นอย่างดีแล้วตัวลูกเองจะได้ประโยชน์อย่างไรบ้างและการทำดีนั้นก็จะทำให้พ่อแม่มีความสบายอกสบายใจและภาคภูมิใจในตัวลูกได้เช่นกัน
ถ้าลูกทำสิ่งใดไม่สำเร็จพ่อแม่ก็ต้องปลอบลูกว่าเราอาจจะไม่เก่งในเรื่องนั้นเรื่องนี้ซึ่งก็ไม่เป็นไร เราอาจจะไปพัฒนาด้านอื่นได้
อย่ากดดันลูกให้ลูกรู้สึกว่าต้องทำทุกสิ่งทุกอย่างเพื่อให้พ่อแม่ภาคภูมิใจอย่ากดดันลูกให้รู้สึกว่าลูกจะต้องเป็นเด็กที่เก่งเหมือนคนอื่น พ่อแม่จะได้ภาคภูมิใจ
แต่จงให้ลูกรู้สึกว่าถ้าลูกเก่งได้มันก็จะดีกับตัวลูกเอง แต่ถ้าลูกไม่เก่งเรื่องนี้ลูกอาจจะไปพัฒนาให้เก่งด้านอื่น หรือถ้าลูกไม่เก่งด้านใดเลย แค่ลูกเป็นคนดีและมีความสุข ลูกก็สามารถมีชีวิตที่ดีได้ และพ่อแม่ก็จะมีความสุขและภูมิใจไปกับลูกได้เช่นกัน
ดังนั้นในแต่ละเรื่องที่พ่อแม่กระตุ้นพัฒนาการและเสริมส่งวุฒิภาวะของลูกควรจะต้องให้ลูกรู้สึกภาคภูมิใจในตนเองด้วย พร่ำพูดว่าแต่ จะต้องทำอย่างนั้นอย่างนี้เพื่อให้พ่อแม่พอใจและภูมิใจเมื่อมองว่าลูกมีความสามารถทำสิ่งใดได้อย่างน่าทึ่งพ่อแม่ก็ควรจะชื่นชมให้ลูกรู้ว่าพ่อแม่มีความภูมิใจในตัวเขา ซึ่งมันเป็นเรื่องที่แตกต่างระหว่างการย้ำให้ลูกรู้ว่าต้องทำอย่างนั้นอย่างนี้เพื่อพ่อแม่ แต่จงให้ลูกรู้สึกว่าถ้าทำอะไร ได้เป็นอย่างดีแล้วตัวลูกเองจะได้ประโยชน์อย่างไรบ้างและการทำดีนั้นก็จะทำให้พ่อแม่มีความสบายอกสบายใจและภาคภูมิใจในตัวลูกได้เช่นกัน
ถ้าลูกทำสิ่งใดไม่สำเร็จพ่อแม่ก็ต้องปลอบลูกว่าเราอาจจะไม่เก่งในเรื่องนั้นเรื่องนี้ซึ่งก็ไม่เป็นไร เราอาจจะไปพัฒนาด้านอื่นได้
อย่ากดดันลูกให้ลูกรู้สึกว่าต้องทำทุกสิ่งทุกอย่างเพื่อให้พ่อแม่ภาคภูมิใจอย่ากดดันลูกให้รู้สึกว่าลูกจะต้องเป็นเด็กที่เก่งเหมือนคนอื่น พ่อแม่จะได้ภาคภูมิใจ
แต่จงให้ลูกรู้สึกว่าถ้าลูกเก่งได้มันก็จะดีกับตัวลูกเอง แต่ถ้าลูกไม่เก่งเรื่องนี้ลูกอาจจะไปพัฒนาให้เก่งด้านอื่น หรือถ้าลูกไม่เก่งด้านใดเลย แค่ลูกเป็นคนดีและมีความสุข ลูกก็สามารถมีชีวิตที่ดีได้ และพ่อแม่ก็จะมีความสุขและภูมิใจไปกับลูกได้เช่นกัน