สอนให้ลูกช่วยเหลือตัวเอง
ความจริงแล้วเรื่องนี้เป็นเรื่องง่ายที่พ่อแม่จะสอนให้ลูกจะทำอะไร ด้วยตนเอง เช่นสอนให้ลูกสวมถุงเท้าด้วยตนเอง แต่งตัวของเขาเอง พับผ้าห่ม พับเสื้อผ้า หรือเก็บของเล่นของเขาใส่กล่องหลังจากที่เล่นเสร็จเรียบร้อยแล้วการสอนให้ลูกทำอะไรด้วยตัวเองอย่างน้อยก็เป็นเรื่องส่วนตัวของเขาเองนั้น เป็นการทำให้พ่อแม่เหนื่อยน้อยลงไปช่วยแบ่งเบาภาระเล็กๆ น้อยๆ ได้ แต่ส่วนที่สำคัญที่สุดก็คือลูกจะมีความสามารถช่วยเหลือดูแลพึ่งพาอาศัยตนองได้และเมื่อเขาดูแลตัวเองได้ตั้งแต่เล็กๆ เมื่อเขาเติบโตขึ้นไปตามวัยเขาก็จะพึ่งพาตัวเองได้ในด้านอื่นๆ มากขึ้นและแน่นอนว่าเมื่อเขาเติบโตขึ้นเป็นผู้ใหญ่ เขาก็จะสามารถพึ่งพาตัวเองมากกว่าที่จะคอยไปขอความช่วยเหลือจากคนอื่นอยู่ร่ำไป
การที่จะสอนให้ลูกช่วยเหลือดูแลตนเองได้นี้ตอนแรกพ่อแม่จะต้องช่วยเป็นพี่เลี้ยงคอยสอนลูกอย่างอดทนเสียก่อนจากนั้นก็ปล่อยให้ลูกช่วยเหลือตัวเองโดยการแนะนำอยู่ห่างๆ อย่าเข้าไปช่วยแก้ไขให้ลูกอยู่ตลอดเวลาจนลูกรู้สึกว่าไม่ได้หัดพึ่งตัวเอง อย่าลืมชมเชยลูกเมื่อเขาสามารถดูแลตัวเองได้เป็นอย่างดี เช่น การแต่งตัวไปโรงเรียนด้วยตัวเองอย่างเรียบร้อย
การส่งเสริมให้รู้จักช่วยเหลือตัวเองนี้นอกจากเป็นการกระตุ้นพัฒนาการเด็กแล้ว ยังเป็นการส่งเสริมให้ลูกสร้างความมั่นอกมั่นใจและภาคภูมิใจในตนเอง และเด็กยังรู้สึกอยากทำอะไรด้วยตนเองในเรื่องอื่นๆ อีกด้วย โดยไม่ต้องการความช่วยเหลือจากพ่อ แม่
การเปิดเผยความรู้สึกของพ่อแม่
ในครอบครัวจะมีความสุขได้ก็ต่อเมื่อทุกคนกล้าที่จะเปิดเผยความรู้สึกของตนเองมิใช่ปิดบังความคิดความในใจเอาไว้จนตัวเองเก็บกดและเผลอแสดงตัวเองออกมาโดยไม่รู้ถึงการแสดงออกในด้านลบต่างๆ
พ่อแม่เองควรจะแสดงให้ลูกได้เห็นตั้งแต่เด็กๆว่าตัวพ่อแม่เองควรจะแสดงให้ลูกได้เห็นตั้งแต่เด็กๆ ว่าตัวพ่อแม่เองกล้าที่จะแสดงความรู้สึกออกมาไม่ว่าจะเป็นความรู้สึกผิด ความรู้สึกเสียใจ ความรู้สึกโกรธ หรือความรู้สึกรัก ยกตัวอย่างเช่นถ้าวันหนึ่งคุณพ่อมีความรู้สึกผิดที่ลืมวันเกิดของคุณแม่ ผู้เป็นพ่อก็ควรจะพูดให้ลูกและรับรู้ว่าตนมีความรู้สึกเสียใจเพียงใดและจะแก้ปัญหานั้นด้วยการชดเชยจัดงานเลี้ยงหรือทำอะไรได้แค่ไหนอย่างไร
หรือวันหนึ่งคุณแม่รู้สึกโกรธคุณพ่อ นอกจากแอบไปทะเลาะกันตามลำพังแล้ว บางครั้งผู้เป็นแม่พูดให้ลูกได้เห็นและได้รับรู้ไว้บ้างว่าตนเองมีความรู้สึกโกรธนะที่พ่อผิดนัดหลายครั้งแล้วแต่ในการแสดงความรู้สึกออกมาให้ลูกเห็นนั้นต้องระวังว่าจะแสดงความรู้สึกออกมาในน้ำเสียงที่เหมือนการพูดคุยกัน อย่าแสดงความรู้สึกออกมาด้วยอารมณ์อันโกรธเคืองและรุนแรงเกินไปเพราะเด็กจะซึมซับเอาอารมณ์นั้นไปโดยไม่รู้ตัวเช่นกัน การพูดคุยเปิดอกกับแบบผู้ใหญ่ การใช้เหตุผลปรับความเข้าใจกัน การแสดงความรู้สึกออกมาว่าเรารู้สึกโกรธนะ เรารู้สึกผิดนะ หรือเรารู้สึกเสียใจเพียงใด การกระทำเช่นนี้จะทำให้ลูกกล้าที่จะแสดงความรู้สึกกับพ่อแม่ ณ วันหนึ่งเมื่อโตขึ้น เขากล้าที่จะบอกเราว่าเขารู้สึกอย่างไรภายในจิตใจของเขา แม้ว่าตอนนี้เขายังจะเป็นเด็กเล็กอยู่ แต่เขาจะมองเห็นความสัมพันธ์ในครอบครัวว่าทุกคนสามารถที่จะพูดความในใจออกมาได้และนั่นเป็นประโยชน์มากที่จะช่วยกันแก้ไขปัญหาได้หากวันใดวันหนึ่งลูกเราเกิดมีปัญหา
ลูกเก่งได้ด้วยความรัก
ซึ่งจริงๆแล้วเป็นวิธีผิดพลาดอย่างยิ่งเนื่องจากได้มีการวิเคราะห์วิจัยในทางจิตศาสตร์พบว่าเด็กๆที่พ่อแม่แกล้งงอนทำเฉยชาใส่เขานั้นเขาจะรู้สึกยิ่งเสียใจ รู้สึกโดดเดี่ยว เพราะหัวใจน้อยๆของลูกนั้นเป็นหัวใจที่มีความอ่อนไหวสูงถ้าเด็กทำผิดพ่อแม่ควรจะใช้เหตุผลอธิบายให้ลูกเข้าใจดีกว่า แต่การที่พ่อแม่แกล้งงอนไม่ให้ลูกมากอดแล้วตัวเองไม่เข้าไปกอดไปหอมลูกนั้นไม่ได้ช่วยให้เด็กรู้สึกว่าไม่ควรจะทำผิดอีกครั้ง แต่ในทางตรงกันข้ามเด็กเล็กๆ จะยิ่งเข้าใจว่าตนเองสูญเสียความรักความสนใจจากแม่ไปแล้วและจะมีความรู้สึกที่ไม่ดีนักกับตนเองการสอนให้ลูกเป็นเด็กเก่งมีความรับผิดชอบนั้นควรสอนให้ลูกเข้าใจความเป็นจริงว่าทำไมควรจะทำสิ่งนั้นสิ่งนี้แล้วลูกจะมีระเบียบวินัยได้ด้วยตนเอง
ไม่ว่าเด็กจะทำผิดอย่างใดพ่อแม่ก็ควรอบรมสั่งสอนอธิบายให้ลูกเข้าใจด้วยความรัก นั่นเป็นวิธีทางเดียวเท่านั้นที่จะทำให้ลูกไม่ทำผิดแบบเดิมอยู่บ่อยๆแต่การแกล้งไม่ให้ความรักลูกนั้นอาจจะเป็นวิธีทำให้ลูกเกิดความน้อยอกน้อยใจและมีความรู้สึกไม่ดีต่อตนเองแถมรู้สึกสูญเสียความภูมิอกภูมิใจในตนเองเสียด้วย
อย่าทำแทนลูก
การยอมรับผิดของเด็ก
เราอาจพบเห็นเด็กบางคนที่มีความสามารถสูง เป็นเด็กเก่งที่มีความเสียอกเสียใจอย่างมากในสิ่งที่เขาพลาดหวัง เคยมีบางเวทีเด็กเข้าร่วมประกวดเพื่อแสดงความสามารถต่างๆ โดยเฉพาะเห็นอยู่เสมอว่าจะมีเด็กที่มีความโกรธและไม่พอใจมาก หรือเสียใจมากที่ตัวเองไม่ได้ชนะเลิศในการแข่งขัน
นี่คือตัวอย่างที่ดีที่เราได้เห็นชัดว่า ยังมีพ่อแม่เป็นอีกจำนวนไม่น้อยเลยที่สอนให้ลูกเป็นเด็กเก่งได้ แต่สอนให้ลูกยอมรับความผิดหวังล้มเหลวไม่ได้
ในขณะที่ปลูกฝังให้ลูกได้พัฒนาความสามารถต่างๆ จนเป็นเด็กเก่งในด้านนั้นขึ้นมาแล้ว ที่จริงเราจะต้องไม่ลืมที่จะปลูกฝังให้เขาเปิดใจกว้างที่จะยอมรับความผิดพลาดล้มเหลวด้วย
ปลูกฝังให้ลูกเข้าใจว่าก่อนที่เราจะทำผิดพลาดไปบ้างนั้นไม่ใช่เรื่องใหญ่เลย เราสามารถเรียนรู้ว่าคราวต่อไปต้องเพิ่มความสามารถให้มากขึ้น
ในการยอมรับความผิดหวังนั้นทำให้เด็กสามารถที่จะเรียนรู้ได้อีกด้วยว่าเราควรจะยอมรับในความสำเร็จของคนอื่น ยอมรับในคนที่ชนะเรา เคารพและนับถือในสิ่งที่คนอื่นทำได้ดีกว่าเรา ในขนะเดียวกันก็หาทางพึ่งพาตัวเองต่อไป
ค่อยๆ สอนให้ลูกเข้าใจว่ามันเป็นเรื่องธรรมดาที่ทุกคนจะพบกับความผิดหวังหรือทำสิ่งใดผิดพลาด คนที่ไม่ยอมรับและนับถือผู้อื่นเลยต่างหากนี่คือสิ่งที่ผิดพลาดและน่าผิดหวังที่สุด
แบ่งเวลาใส่ใจต่อเด็ก
แต่ความจริงแล้วท่าทีไม่ใส่ใจของพ่อแม่นั้นมีความหมายกับลูกมาก เพราะเด็กจะคิดว่าเขาไม่มีความสำคัญสำหรับพ่อแม่เด็กๆ ทุกคนมีความต้องการมากที่จะรู้สึกว่าเขาเป็นคนสำคัญที่หนึ่งสำหรับพ่อแม่ของเขา ดังนั้นการที่คุณจะยอมผละจากงานแค่ไม่กี่นาทีมานั่งฟังลูกอย่างใส่ใจ ไถ่ถามลูก ตอบลูก หรือ เออออตั้งใจฟังลูกเพียงท่านั้นเด็กจะมีความรู้สึกมี
อิทธิพลของมารดาต่อทารกในครรภ์
ยิ่งไปกว่านั้นการศึกษาวิจัยยังพบว่าความคิดและความรู้สึกของมารดาที่ตั้งครรภ์มีผลกระทบกระเทือนต่อทารกในครรภ์ได้แม้แต่มารดาที่ตั้งครรภ์อยู่ เพียงเกิดความรู้สึกอยากสูบบุหรี่ ก็จะพบว่าหัวใจของทารกในครรภ์เต้นเร็วอย่างชัดเจน
นักวิจัยหลายท่านมีความเห็นตรงกันว่า ความสำพันธ์ระหว่างมารดา และทารกในช่วงตั้งครรภ์ มีความสำคัญอย่างยิ่งยวดยิ่งมีความผูกพันมากเท่าไร ทารกที่คลอดออกมายิ่งมีจิตใจแจ่มใส สงบ ตอบสนองต่อการเลี้ยงดูง่ายขึ้นเพราะทารกเคยชินต่อเสียงและการสัมผัสของมารดาผู้ตั้งครรภ์ รวมทั้งความผูกพันทางจิตใจ ซึ่งเกิดจากความสำพันธ์และเกี่ยวดองกันอย่างแน่แฟ้นมาก่อน ในทางตรงกันข้ามหากมารดาผู้ตั้งครรภ์รู้สึกไม่พอใจกับการตั้งครรภ์ มีความรู้สึกว่าตั้งครรภ์เป็นอุปสรรคต่อชีวิตก็จะส่งผลก่อให้เกิดความเครียดต่อทารกในครรภ์ได้เช่นเดียวกัน
เมื่อถึงตรงนี้เราคงค้นพบความจริงที่ว่าความผูกพันของแม่มีอิทธิพลต่อลูกน้อยในครรภ์อย่างแน่นอน
การรับรู้ด้านการมองเห็นของทารกในครรภ์
ได้มีการการทดลดลองวิจัย ที่ทำให้ทราบได้ว่าทารกสามารถมองเห็นได้ตั้งแต่อยู่ในครรภ์มารดา โดยได้ทดลองการฉายแสงผ่านเข้าสู่มดลูก และที่แสงผ่านจะเห็นทารกมีปฎิกริยาเกิดขึ้นคือมีการเต้นของหัวใจที่เร็วกว่าปกติ
และเมื่อผู้ทดลองได้ลองเพิ่มแสงสว่างมากขึ้นทำให้เกิดแสงจ้ามากเกินไป ทารกในครรภ์จะสามารถยกมือขึ้นปิดหน้าผากเพื่อกั้นแสงจ้านั้นได้ ซึ่งดูแล้วน่าอัศจรรย์ใจอย่างยิ่ง
จะเห็นได้ว่าขณะที่ทารกอยู่ในครรภ์นั้น ธรรมชาติได้เตรียมพร้อมให้กับทารกในการพัฒนาการรับรู้ทางประสาทสัมผัสด้านต่างๆไว้ก่อนออกสู่โลกภายนอกแม้แต่ระบบประสาทสัมผัสการรับกลิ่นได้ตั้งแต่อยู่ในครรภ์ของมารดา แต่เนื่องจากอยู่ในครรภ์ จึงทำให้เห็นความสามารถนี้ไม่ชัดเจน
สิ่งแวดล้อมกับพัฒนาการเด็ก
หรือแม้ว่ามนุษย์โลกซึ่งแบ่งเป็นสองเพศคือชายและหญิงสภาพแวดล้อมยังเป็นเหตุทำให้เกิดมนุษย์พันธ์ใหม่ คือชายครึ่งหญิงครึ่งได้ชีวิตของคนเราจะดีร้ายหรือเปลี่ยนแปลงอย่างไรจึงขึ้นอยู่กับสิ่งแวดล้อมมิใช่น้อยโดยเฉพาะทารกนั้นอาจกล่าวได้ว่าสิ่งแวดล้อมมีผลต่ออารมภ์ จิตใจของทารกไม่ยิ่งหย่อนไปกว่าผู้ใหญ่คนใดเลย
ทารกกับมลภาวะ
Lorence M.Schell นักวิจัยชาวอเมริกันได้ทำการวิจัยถึงผลกระทบของสภาพแวดล้อมที่มีผลต่อการตั้งครรภ์พบว่ามารดาที่ตั้งครรภ์ และอาศัยอยู่ใกล้บริเวณสนามบินนั้น ทารกจะได้รับความกระทบกระเทือนจากเสียงเครื่องบินในเวลาบินขึ้นและนำเครื่องร่อนลง อันถือเป็นมลภาวะทางเสียงต่อทารกในครรภ์ โดยทารกที่คลอดมามีลักษณะ
♥ น้ำหนักน้อยกว่าเกณฑ์ปกติ
♥ มักคลอดก่อนกำหนด
♥ ทารกแรกคลอดจะกระสับกระส่ายตกใจง่าย
♥ เลี้ยงยาก ร้องไห้เก่ง
ข้อพึงปฎิบัติ
♥ ในระหว่างตั้งครรภ์ ควรเสริมสร้างทารกในครรภ์ด้วยอาหารที่มีโปรตีนสูงเพื่อสร้างเซลล์สมองทารกในครรภ์ให้มีขนาดสมบูรณ์สุดขอแนะนำให้คุณแม่ดื่มนมวันละ 1 ลิตร ไข่ไก่ 2 ฟอง รับประทานเนื้อสัตว์โดยเฉพาะเนื้อปลาให้มาก รวมทั้งผักผลไม้ และยาบำรุงครรภ์ที่แพทย์ให้มาให้มาก
♥ระหว่างตั้งครรภ์ ควรพยายามหลีกเลี่ยงสิ่งแวดล้อมที่เป็นพิษเท่าที่จะทำได้ เช่นหลีกเลี่ยงเสียงหนวกหู เสียงรบกวนต่างๆ หลีกเลี่ยงการอยู่ในสถานที่แออัดหรือมีอากาศถ่ายเทไม่สะดวก ควรสร้างบรรยากาศและสภาพแวดล้อมที่ดีอันจะเป็นผลดีต่อทารก
โภชนาการอาหารระหว่างตั้งครรภ์
ในระหว่างตั้งครรภ์นั้น ทารกมีการเจริญเติบโตอย่างมากมายและรวดเร็ว จึงจำเป็นต้องอาศัยอาหารเป็นตัวเสริมสร้างความเจริญทั้งทางร่างกายและสมอง ถ้าผู้ตั้งครรภ์รู้จักเลือกรับประทาน อาหารที่มีประโยชน์ และควรหลีกเลี่ยงอาหารที่ให้โทษแก่ทารกในครรภ์ก็จะทำให้ทารกที่เกิดมามีสุขภาพที่ แข็งแรง สมบูรณ์ มีสติปัญญาดี
สารอาหารโปรตีน เช่น เนื้อ นม ไข่ มีความสำคัญอย่างยิ่งในการเสริมสร้าง ขนาดของคุณภาพสมอง ซึ่งมีส่วนสำคัญในการกำหนดสติปัญญาและความเฉลียวฉลาดของเด็ก เนื่องจากเซลล์สมองของมนุษย์มีขนาดใหญ่และมีเส้นใยสมองมากนั้นจะเป็นสมองที่เฉลียวฉลาดดังนั้นถ้ามารดาตั้งครรภ์ได้รับสารโปรตีนน้อย เซลล์สมองย่อมมีขนาดเล็ก ทารกที่ออกมาจะมีสติปัญญาต่ำได้ นอกจากนี้สารจำพวกวิตามินบี ยังมีส่วนสำคัญในระหว่างตั้งครรภ์ เพราะนอกจากจะช่วยเสริมสร้างระบบประสาทแล้ว ยังช่วยให้การทำงานของเซลล์สมองเป็นไปอย่างมีประสิทธิภาพ
ฉะนั้นการที่ทารกในครรภ์จะมีสติปัญญามากน้อยเพียงใดนั้นอาหารเป็นตัวกำหนดที่สำคัญตัวหนึ่ง
กรรมพันธุ์เด็ก
ยีนในส่วนของเซลล์สมองมีหน้าที่กำหนดคุณภาพสมองความเฉลียวฉลาด พ่อแม่ที่มีความฉลาด มีไหวพริบดี ก็ถ่ายทอดยีนส่วนนี้ไปยังลูก ทำให้มีลักษณะฉลาดคล้ายคลึงพ่อแม่
กรรมพันธุ์จึงเป็นส่วนหนึ่งที่กำหนดคุณภาพทารก ทารกในครรภ์จะฉลาดมากน้อยเพียงไรก็ขึ้นอยู่กับยีนที่พ่อแม่ให้มานั่นเองและอนาคตข้างหน้า เมื่อพันธุวิศวกรรมศาสตร์เจริญก้าวหน้ากว่านี้เราอาจเลือกคุณภาพของลูกแบบไหนก็ได้เช่น ถ้าต้องการให้ลูกตาสีฟ้า เราก็กำหนดยีนตาสีฟ้าเข้าไป หรือหากต้องการให้ลูกฉลาดมากๆก็อาจใส่ยีนที่กำหนดความฉลาดนั้นๆเข้าไปได้อย่างไรก็ดีเป็นข้อถกเถียงกันว่าพันธุวิศวกรรมศาสตร์นั้นเป็นการทำให้มนุษย์ผิดไปจากธรรมชาติหรือไม่ ซึ่งยังหาข้อสรุปไม่ได้ในปัจจุบัน
ปัจจัยส่งเสริมคุณภาพทารก
คุณภาพทารกที่ดีเป็นอย่างไร
คำว่า คุณภาพ นั้นคงมิได้หมายถึงแต่เพียงทำอย่างไรให้ลูกฉลาดอย่างที่หลายคนเข้าใจเท่านั้น คำว่า คุณภาพยังหมายถึง
♥ ทำอย่างไร ให้ลูกมีพัฒนาการทางร่างกายที่ดี มีสุขภาพร่างกายที่แข็งแรงสมบูรณ์
♥ ทำอย่างไรให้ลูกมีจิตใจที่แจ่มใส สงบ เยือกเย็น อารมณ์ดี ไม่ก้าวร้าว
♥ทำอย่างไรให้ลูกมีการตอบสนองสังคมที่ดีกล่าวคือมีสติ มีไหวพริบในการตอบสนองต่อสิ่งเร้า หรือเหตุการณ์ที่พบเห็นได้ดี
♥ และประการสุดท้ายคงหนีไม่พ้น ทำอย่างไรให้ลูกมีสติปัญญาที่ดี มีประสิทธิภาพในการเรียนรู้เร็วขึ้น
การที่จะให้ลูกมีคุณภาพดังหัวข้อที่กล่าวมานี้ปัจจัยที่เป็นตัวกำหนดในเรื่องเหล่านี้มีความสำคัญมาก เพราะหากผู้ตั้งครรภ์ได้สนใจหรือดูแลปัจจัยที่กำหนดคุณภาพเหล่านี้ตั้งแต่เริ่มตั้งครรภ์ ปัจจัยเหล่านี้จะช่วยเอื้ออำนวยต่อคุณภาพทารกได้ ปัจจัยสำคัญที่เป็นตัวกำหนดคุณภาพทารกมีดังนี้
รูปลักษณ์ของลูก
ถ้าคุณอยากให้ลูกเป็นเด็กที่เก่งและมีความสุขคุณจะต้องทำให้ลูกมีความรู้สึกพออกพอใจในตนเองเป็นอันดับแรกพ่อแม่ไม่จำเป็นต้องชมลูกจนเกินเลยความจริงหรือชื่นชมแต่เรื่องหน้าตาหรือรูปร่างของลูกตลอดเวลาบ่อยจนเกินไป เพียงแต่ต้องทำให้ลูกรู้สึกบ้างว่าตนเองก็มีความน่ารักน่าภาคภูมิใจในตัวของเขาเองได้
ในขณะเดียวกันต้องปลูกฝังให้ลูกรู้จักภาคภูมิใจในรูปลักษณ์ของตนเองมิใช่ในแง่ที่ว่ามั่นใจว่าตัวเองหน้าตาดี แต่สอนให้เด็กรู้ว่ามีส่วนที่ดีในตัวของลูกเพื่อที่เด็กจะไม่เป็น เด็กที่คิดแต่เรื่องรูปลักษณ์ภายนอกเป็นจุดสำคัญ
แม้กระทั่งการพูดถึงคนอื่นหรือการชมโทรทัศน์พ่อแม่ก็ต้องปลูกฝังให้ลูกได้ยินอยู่เสมอว่าถึงคนนั้นหน้าตาไม่หล่อเท่าคนนี้แต่คนนั้นเขามีผิวพรรณที่ดีนะ หรือมีรูปร่างดี มีเส้นผมที่สวยหรือมีใบหน้าที่เบิกบานแจ่มใสและยิ้มหวานอยู่เป็นนิตย์ เป็นต้น การทำให้ลูกมีความพอใจในตนเองมีความภาคภูมิในในรูปลักษณ์ไม่ว่าจะเป็นหน้าตาหรือรูปร่างของตนเองการรู้จักแต่งกายที่ดี และสะอาดถูกกาลเทศะ สิ่งต่างๆเหล่านี้ทำให้ลูกมีความมั่นใจในตนเองเพราะเมื่อไรก็ตามถ้าเด็กรู้สึกขาดความมั่นใจในตนเอง รู้สึกอับอายในรูปลักษณ์ของตนเองแล้ว เด็กก็อาจมีปัญหาในเรื่องของการใช้ชีวิตในด้านอื่นๆด้วยเช่นกัน
การจัดการหน้าที่รับผิดชอบให้ลูก
ถ้าคุณมีลูกสองคนอาจแบ่งหน้าที่ให้ลูกทั้งสองในการทำงานบ้านต่างๆ เช่นวันจันทร์เป็นเวรของคนพี่ที่1ช่วยเก็บขยะในครัวไปทิ้ง วันอังคารอาจจะเป็นเวรของน้องบ้างหรือคุณพี่มีหน้าที่ช่วยคุณแม่ล้างจานในขณะที่คุณน้องมีหน้าที่ช่วยเก็บเสื้อผ้าชองตัวเองและของพี่ ไปใส่ตะกร้า เสื้อผ้าสำหรับให้คุณพ่อคุณแม่ซัก เป็นต้น แม้ว่าจะมีลูกเพียงคนเดียวก็สามารถจัดหน้าที่ให้ลูกรับผิดชอบได้ในแต่ละวัน เช่น ลูกต้องมีหน้าที่เก็บรองเท้าของตนไปวางให้เรียบร้อยถอดเสื้อผ้าใส่ตะกร้า เก็บของเล่นใส่กล่องหรือช่วยทิ้งขยะให้คุณพ่อคุณแม่
ถ้าเด็กได้เรียนรู้ที่จะรับผิดชอบหน้าที่เล็กๆน้อยๆของตนเองในแต่ละวันเด็กก็จะชินกับการมีภาระหน้าที่ที่จะรับผิดชอบจะไม่รู้สึกว่าการมีหน้าที่เป็นเรื่องของการทำงานที่น่าเบื่อหน่าย คุณพ่อ คุณแม่เองจะไม่ต้องเหนื่อยกับการพร่ำเพรื่อเพื่อตักเตือนลูก เด็กจะคุ้นชินกับระเบียนภายในบ้าน ซึ่งหมายถึงเมื่อเขาเติบโตไปภายหน้าเขาก็จะเป็นผู้ใหญ่ที่มีความรับผิดชอบ และมีระเบียบวินัยในชีวิตของตัวเอง
นอกจากคุณพ่อคุณแม่จะช่วยจัดแบ่งหน้าที่ให้ลูกรับผิดชอบแล้วก็ยังควรจะต้องหมั่นชมเชยลูกด้วยว่าสัปดาห์นี้ลูกเก่งจังเลยที่สามารถรับผิดชอบหน้าที่รับผิดชอบของตนเองได้อย่างดีไม่มีขาดตกบกพร่องในขณะเดียวกันถ้าวันใดลูกละเลยหน้าที่ของตนเองบ้าง ก็ไม่ควรจะเข้มงวดหรือตำหนิจนลูกรู้สึกผิดมากมายนัก ควรยืดหยุ่นให้ลูกสำนึกในหน้าที่ของตนเองจะดีกว่า เมื่อเด็กๆ สามารถรับผิดชอบในหน้าที่ของตนเองได้เป็นอย่างดีตั้งแต่เรื่องเล็กๆน้อยๆเขาก็จะสามารถรับผิดชอบเรื่องใหญ่ๆ ขึ้นได้ และเขาจะเป็นเด็กเก่งที่มีความภาคภูมิใจไม่น้อยเลย
สอนให้เด็กเก่งตามวัย
ถ้าลูกเล็กเกินกว่าที่จะไปเรียนพิเศษวิชาคณิตศาสตร์หรือวิชาอื่นๆ ก็ควรให้เรียนเท่าที่สมวัยแก่ลูก มีพ่อแม่ในยุคสมันนี้จำนวนไม่น้อยเลยที่พาลูกเล็กๆ ไปเรียนพิเศษทุกๆเย็นรวมทั้งในวันเสาร์อาทิตย์ที่ควรเป็นวันหยุดพักผ่อนของลูกด้วย
อย่าลืมว่าเด็กทั้งหลายนั้นจะเป็นเด็กเก่งได้ก็ต่อเมื่อเด็กๆได้มีการพัฒนาตามขั้นตอนของตัวเอง เด็กควรมีเวลาพักผ่อน มีเวลาเล่นอย่างมีความสุขและรู้สึกผ่อนคลายตามวัยของเด็กถ้าเราถูกบังคับจนรู้สึกเครียดเด็กคงไม่สนุก ไม่มีความรู้สึกรักในสิ่งที่เรายัดเหยียดให้ลูกอย่างแน่นอน หากเด็กเติบโตอย่างสมบูรณ์เหมาะสมที่จะเรียนรู้เพิ่มเติมในสิ่งใดก็คอยกระตุ้นพัฒนาการในช่วงนั้น อย่าลืมว่าเราไม่สามารถที่จะบังคับให้เด็กเดินหรือวิ่งได้เลยถ้าเด็กมิได้หัดคลานเสียก่อน
เป็นตัวอย่างที่ดีสำหรับเด็ก
ทุกความคิดและทุกการกระทำในการดำเนินชีวิตในแต่ละวันนั้นแหละที่เป็นแนวทางใช้ชีวิตของลูก ลูกจะเป็นเด็กเก่งหรือไม่มิได้อยู่ท่ารอบรมสั่งสอนลูกเท่านั้น แต่อยู่ที่รูปแบบและวิธีการใช้ชีวิตของพ่อแม่นั่นเอง
ไม่ควรบังคับเด็ก
ยกตัวอย่างเช่น ถ้าคุณต้องการให้ลูกเก็บของที่รกอยู่ในห้องรับแขก แทนที่คุณจะสั่งลูกว่าเก็บของเสียสิเพราะมันรก คุณควรจะบอกลูกว่าลูกควรจะเก็บของเล่นของลูกให้เรียบร้อยเพราะว่ามันจะทำให้บ้านรกและทำให้แม่เหนื่อยขึ้นที่ต้องมานั่งเก็บของเล่นลูกแทนที่จะได้ไปอาบน้ำพักผ่อนหรือแทนที่จะได้ไปทำอาหารให้ลูกๆหรือคุณพ่อกิน และถ้าลุกเก็บของเล่นแล้วลุกก็ได้ชื่อว่ามีส่วนช่วยแบ่งเบาภาระคุณแม่และยังทำให้บ้านสะอาดอีกด้วย
วิธียกเหตุผลให้ลูกเห็นว่าเพราะอะไรลูกถึงควรทำไม่ใช่สั่งแต่ว่าเขาต้องเก็บของเล่นเพียงเพราะแม่สั่งให้ทำไม่ว่าจะเป็นเรื่องใดๆหากเรารู้จักใช้เหตุผลอยู่ตลอดเวลาว่าอะไรจึงควรทำแบบนั้น เพราะอะไรจึงควรทำแบบนี้ลูกจะเติบโตเป็นเด็กที่มีเหตุผลกับคนอื่น ลูกจะเป็นเด็กที่มีความภูมิใจในตัวเองด้วย
แต่ในขณะเดียวกันถ้าเราใช้คำสั่งลูกอยู่ตลอดเวลาอย่างพ่อแม่ที่ค่อนข้างเผด็จการลูกอาจทำตามพ่อแม่สั่งแต่ในใจอาจจะกลายเป็นเด็กที่เกลียดการใช้คำสั่ง และส่วนเสียก็คือลูกจะไม่รู้ว่าเพราะอะไรถึงควรทำสิ่งนั้นสิ่งนี้ รู้แต่ว่าอยากให้ทำอะไรก็สั่งมาคล้ายกับว่าเขามีหน้าที่ที่จะทำตามคำสั่งเท่านั้น ซึ่งแน่นอนว่าเขาก็จะเป็นเด็กที่ไม่มีความนับถือตนเอง และก็ไม่มีความรู้สึกอยากที่จะคิดหรือทำอะไรด้วยตัวเองเลย
เพลงเด็ก
การแก้ปัญหาของเด็ก
ปัญหาเล็กๆน้อยๆ จนถึงปัญหาใหญ่บางครั้งเราก็ต้องใช้วิธีกระตุ้นให้ลูกคิดหาทางแก้ปัญหาเองแทนที่จะช่วยแก้ไขปัญหาทุกอย่างให้ลูกมิเฃ่นนั้นลูกจะไม่สามารถพึ่งพาตัวเองได้เลยและคอยที่จะคอยความช่วยเหลือจากพ่อแม่ หรือคนรอบข้างอยู่ร่ำไป ปัญหาบางเรื่องถ้าลูกแก้ปัญหาไม่ได้เราก็ค่อยๆ ช่วยคิดช่วยชี้นำหรือเสนอทางเลือก 2-3 ทางเลือก มิใช่คอยแก้ปัญหาให้อย่างเบ็ดเสร็จเรียบร้อยเสมอไปทุกครั้ง คุณต้องให้เลลาในการอยู่กับลูก ให้เด็กเล่าถึงปัญหาจากนั้นก็ลองให้ลูกหาวิธีแก้ปัญหาหลายๆ ทางแล้วให้ลูกเลือกทางแก้หรืออาจจะช่วยให้กำลังใจ ช่วยเสนอทางเลือกในการแก้ปัญหาให้ คอยสนับสนุนให้กำลังใจลูก สอนวิธีคิดให้ลูกอย่างน้อยก็กระตุ้นให้เขากล้าที่จะเผเชิญปัญหาก่อนที่จะหนีปัญหา
สอนให้ลูกเข้าใจด้วยว่าปัญหาบางเรื่องเมื่อเราแก้ไขแล้วยังแก้ไขได้ไม่ดีก็ไม่ใช่เรื่องผิด เราสามารถที่จะคิดใหม่ และลองแก้ไขอักครั้งดีกว่าที่จะโยนปัญหาทิ้งหรือวิ่งไปขอความช่วยเหลือจากใครแต่เพียงผู้เดียว
ตั้งใจฟังเด็กน้อย
เพราะเขารู้สึกว่าเขาไม่ได้รับความสนใจอย่างเด็กอื่นๆ มีคนสนใจ
เด็กน้อยเริ่มเที่ยวสู่โลกกว้าง
ถ้าลูกโตพอที่จะออกไปทำกิจกรรมต่างๆกับเพื่อนๆ เด็กด้วยกันได้แล้วพ่อแม่ก็ต้องทำใจปล่อยให้ลูกไปมีกิจกรรมของเขาโดยสนับสนุนให้เขาได้เรียนรู้การเข้าสังคมและเรียนรู้จากโลกกว้างต่อไป อย่าเก็บลูกไว้เพียงภายในบ้านเพราะกลัวจะมีอันตรายอยู่เสมอไปการที่ปล่อยให้ลูกไปทำกิจกรรมกับเพื่อนๆการที่ปล่อยลูกไปเข้าแคมป์ ไปเข้าค่ายสัมมนาต่างๆล้วนแล้วแต่มีประโยชน์ทั้งสิ้นเพราะการที่ลูกได้อยู่กลุ่มเด็กอื่นๆนั้นทำให้เด็กได้เติบโตทางความคิด เป็นการกระตุ้นวุฒิภาวะของลูก เขาได้เรียนรู้จากการเข้าได้กับผู้คน การมีมารยาทกับผู้อื่น การแสดงความคิดเห็นการยอมรับบุคคลอื่นๆ เพราะสังคมน้อยๆของเขานั้นมีคนที่มีลักษณะนิสัยแตกต่างกันออกไปไม่น้อยเลยอย่างแน่นอน
การที่ลูกมีกิจกรรมต่างๆที่โรงเรียนพ่อแม่เองก็ควรจะไปดูแลชื่นชมด้วยเสมอถ้าโรงเรียนเชิญให้ผู้ปกครองไปร่วมงานได้ด้วยเพราะมันจะเป็นกำลังใจให้ลูกได้รู้สึกภาคภูมิใจที่พ่อแม่ชื่นชมในความสามารถของเขา และเป็นส่วนที่คอยสนับสนุนในกิจกรรมของเขาอย่างสม่ำเสมอ
การอนุญาตให้เด็กไปเรียนรู้สิ่งใหม่ๆ ในโลกกว้างนั้นก็เท่ากับส่งเสริมให้เขาไปเรียนรู้จากชีวิตและพัฒนาการในด้านต่างๆได้อย่างกว้างขวาง เพราะเป็นการเรียนรู้โดยไม่รู้ตัวและเป็นการเรียนรู้ในเรื่องต่างๆมากมาย ที่เพียงแค่ในห้องเรียนหรือเพียงแค่การสอนของพ่อแม่ในห้องครัวอาจจะสอนได้ไม่ละเอียดกว้างขวางเท่านั้น
เรื่องของเวลาของเด็ก
เพราะถ้าแม่และสมาชิกทำอะไรไร้ระบบระเบียบไม่เป็นเวล่ำเวลาเลยลูกก็ซึมซับเอาวิถีชีวิตในลักษณะนั้นอย่างง่ายดาย
การแสดงความคิดเห็นของเด็ก
แต่ถ้าเราไม่เคยให้ลูกแสดงความคิดเห็นอะไรหรือหรือไม่เคยให้ลูกมีส่วนร่วมในการตัดสินใจอะไรเลย ลูกก็จะไม่รู้สึกถึงความสำคัญในฐานะของสมาชิกในบ้าน และเขาจะกลายเป็นเด็กที่ไม่กล้าแสดงความคิดเห็น ไม่กล้าที่จะตัดสินใจและอาจจะเก็บกดเพราะต้องเก็บความรู้สึกไว้ในบางครั้งที่ไม่เห็นด้วยกับคนอื่น แต่ไม่มีโอกาสได้แสดงความคิดเห็นอะไรได้บ้าง แต่ต้องทำตามที่คนอื่นตัดสินใจอยู่ร่ำไป
ดังนั้นไม่ว่าจะเป็นการพูดคุยในเรื่องเล็กๆ น้อยๆ แม้บางเรื่องจะไม่ต้องการข้อสรุปด้วยการตัดสินใจของพ่อแม่ก็ควรจะเปิดโอกาสให้ลูกได้แสดงความคิดเห็นหรือข้อแนะนำต่างๆ ออกมาบ้างแม้เขาจะเป็นเด็กเล็กๆ ในวัยเพียงไม่กี่ขวบก็ตาม
น้ำนมแม่
ฉะนั้นคุณยังต้องดูแลเรื่องอาหารของตนเองให้ครบถ้วนเช่นเดียวกับตอนตั้งครรภ์และได้รับพลังงานจากอาหารเพิ่มขึ้นจากปกติวันละ 500 กิโลแคลอรี เพื่อให้น้ำนมคุณมีคุณค่าสารอาหารครบถ้วนสำหรับลูกน้อยหลัง6เดือนไปแล้วนมแม่ยังถือเป็นอาหารหลักที่มีความจำเป็นสำหรับลูกอยู่
แต่ต้องได้รับอาหารเสริมควบคู่ไปด้วยเพื่อให้เพียงพอกับความต้องการของร่างกายการให้อาหารประเภทเนื้อสัตว์และไข่ในช่วงแรกควรให้ทีละอย่างจะได้รู้ว่าลูกแพ้อาหารชนิดใดจากนั้นจึงค่อยดัดแปลงเมนูให้มีความหลากหลายลูกจะได้รับสารอาหารที่หลากหลาย และครบถ้วน
การเล่นกับเด็กทารก
ที่จริงแล้วยังมีพ่อแม่อีกจำนวนไม่น้อยที่ไม่ค่อยส่งเสริมให้ลูกเล่นสนุกตามวัยด้วยเพราะกลัวจะเกิดอันตรายและกลัวมีเรื่องมีราวกับเด็กอื่นๆ ซึ่งเหล่านี้เป็นเรื่องที่พ่อแม่ควรจะควบคุมด้วยตัวเองอย่าปล่อยให้ลูกไปเล่นไกลหูไกลตาถ้าพ่อแม่จัดคนคอยดูแลด้วยสม่ำเสมอการเล่นของเด็กก็จะไม่เป็นอันตรายอย่างแน่นอน และแม้วันหนึ่งลูกมีเรื่องทะเลาะขัดแย้งกับเด็กคนอื่นๆพ่อแม่ก็สามารถที่จะใช้สถานการณ์นี้สอนให้ลูกเรียนรู้การแก้ไขปัญหาในการขัดแย้งกันได้เมื่อเกิดขึ้นหลังจากที่เล่นสนุกกันแล้วก็ควรจะรู้ที่จะสะสางปัญหาเมื่อทะเลาะกันเองภายในกลุ่มเพื่อนด้วย
ของรางวัลสำหรับลูกรัก
แต่ในขณะเดียวกันเราก็ไม่ควรตามใจลูกด้วยการซื้อของทุกอย่างที่ลูกต้องการให้เขาหรือให้รางวัลกันอย่างพร่ำเพรื่อเกินไปจนเด็กไม่รู้สึกตื่นเต้น และไม่รู้สึกเห็นคุณค่าของสิ่งที่เรียกว่ารางวัล การตั้งรางวัลให้เด็กนั้นมิได้เป็นการสอนให้เด็กทำก็เพื่อแลกกับรางวัล แต่เราจะต้องทำให้ลูกรู้สึกภาคภูมิใจในสิ่งที่ทำลงไปทำให้ลูกรู้สึกตระหนักถึงคุณค่าของสิ่งต่างๆ โดยเริ่มปลูกฝังตั้งแต่เรายังเป็นเด็กเล็กๆ เรื่อยไปจนกระทั่งเขาเติบโตหรือเป็นผู้ใหญ่ต่อไป
เรียนรู้ลูกน้อย
แม้เขาจะยังเล็กอยู่แต่เขาก็มีตัวตนและมีลักษณะนิสัยของเขาที่เราจำเป็นต้องมองหรือสังเกต เด็กบางคนอาจมีลักษณะนิสัยค่อนข้างเงียบ ถ้ารู้จักลูกเราก็อาจที่จะกระตุ้นให้ลูกได้แสดงออกเราได้ส่งเสริมสนับสนุนลูกในเรื่องการแสดงออกให้ถูกทางให้ถูกลักษณะนิสัยที่ลูกสนใจและชื่นชอบ
การเรียนรู้จากนิสัยใจคอและตัวตนแท้จริงจากลูกไม่ใช่เรื่องที่ยากจนเกินไป แต่ไม่ใช่เรื่องที่เรามองข้ามเพราะว่าเราคิดว่าเรารู้จักลูกของเราดีแล้ว แต่ถ้าเราใช้เวลาสังเกตอย่างสม่ำเสมอเราจะได้รู้จักลูกเราออย่างละเอียดทุกมุมมอง ทุกๆ มิติของความเห็นเขา บุคลิกของลูกวิธีคิด ลักษณะนิสัยของเขามีอะไรที่น่าสนใจ เวลาโกรธเวลาเสียใจ เขามักมีทีท่าอย่างไร คำพูดของลูกแต่ละคำแม้เป็นเรื่องเล็กๆน้อยๆ แต่ถ้าเราตั้งใจฟังเราก็จะจับได้ว่าในแต่ละคำของลูกนั้น แสดงออกมาซึ่งความคิด และความรู้สึกอย่างไรบ้าง
การเรียนรู้จากตัวลูกให้มากเราก็จะง่ายต่อการรับมือกับเขา ส่งเสริมสนับสนุนเขาให้สมกับความเป็นตัวเขาโดยไม่ฝืนเพราะความคาดหวังเขาในทางที่ผิด
จินตนาการของเด็ก
เมื่อลูกของเรามีจินตนาการอันกว้างไกลพ่อแม่ควรจะสนับสนุน และใส่ใจกับจินตนาการนั้น ถ้าลูกเล่าเรื่องส่วนตัวของลูกซึ่งไม่มีตัวตนจริงหรือเล่าว่าเห็นไดโนเสาร์ออกมาเล่นกับนกตัวน้อยๆของเขาเราก็ควรเริ่มพูดคุยกับลูกกระตุ้นให้ลูกกล้าแสดงออกความคิดในเชิงจินตนาการ เพราะเด็กๆ ทุกคนมีจินตนาการและความฝันอันแสนประเสริฐมากกว่าผู้ใหญ่อย่างเราจะเข้าใจทั้งๆ ที่ตัวเราเองก็มีจินตนาการในวัยเด็กหรืออาจมีมากกว่าลูกก็เป็นได้
ถ้าแม่บางคนดูลูกว่าพูดจาเกินเลยพูดจาโกหกหรือฝันเฟื่องจนน่ารำคาญ พ่อแม่บางคนปิดโอกาสที่ลูกจะใช้จินตนาการ และความฝันในวัยเยาว์ของเขาซึ่งเป็นส่วนที่น่าส่งเสริมและสนับสนุนที่สุดพราะการที่เด็กมีจินตนาการและความคิดฝันของตัวเองนั้น เป็นสิ่งที่สวยงามที่กระตุ้นพัฒนาการในเชิงความคิดสร้างสรรค์ให้ลูกตั้งแต่เด็กๆ
เด็กที่โตขึ้นมาเป็นเด็กไม่เก่งและไม่มีความสามารถในเชิงการแสดงออก ควรริเริ่มสร้างสรรค์ ไม่ค่อยมีความฝันและความอ่อนหวานในจิตใจ ก็มักจะเป็นเด็กที่ถูกพ่อแม่ดุเมื่อลูกเล่าถึงจินตนาการที่เกินเลยความจริงของตน แล้วต่อไปลูกก็ไม่กล้าเล่าในสิ่งที่เขาคิดฝันอยู่ในใจอีก
เด็กในวัยหนึ่งย่อมมีจินตนาการของเขา ย่อมมีความฝันอันกว้างไกลและเหนือจริงไปหน่อย เราต้องปล่อยให้เขาได้คิดฝันและพูดคุยไปตามนั้น เมื่อเขาเติบดตขึ้นเขาก็มักมีการแสดงออกในส่วนอื่นมากขึ้นจินตนาการที่เกินเลยไม่ใช่เรื่องร้ายแรงอะไรเลย พ่อแม่จึงควรส่งเสริมลูกมากกว่าที่จะไปคิดว่าลูกไร้สาระ จนทำให้เขารู้สึกว่าไม่มีความสุข และเลิกใช้จินตนาการของตัวเองต่อไป