พัฒนาการเด็ก 1 เดือน
ภายหลังการคลอดหลายวันทักษะในการเคลื่อนไหวของเด็ก เริ่มต้นจากการควบคุมศรีษะ อาจหันศรีษะจากซ้ายไปขวาหรือในทิศทางตรงกันข้ามได้ แต่ยังไม่สามารถตั้งศรีษะได้เอง เมื่อครบหนึ่งเดือนแรกอาจยกศรีษะขึ้นจากที่นอนได้นานประมาณ 2-3 วินาที คุณอาจคิดว่านั่นเป็นเรื่องเล็กน้อยเท่านั้นแต่สำหรับเขาแล้ว จัดได้ว่ามีความก้าวหน้าขึ้นอย่างมาก
พัฒนาการด้านจิตใจ
จากการวิจัยพบว่าเด็กที่พึ่งคลอดได้เพียง2-3วันนั้นสามารถเลียนแบบการแสดงออกทางสีหน้าของผู้ใหญ่ได้ ตรวจสอบโดยการแลบลิ้น ของคุณต่อหน้าเขาถ้าตอบสนองต่อพฤติกรรมของคุณได้ดี เขาอาจเลียนแบบพฤติกรรมของคุณ
ลูกเป็นไข้ออกหัดและเป็นผื่น
หากแพทย์สงสัยว่าจะเป็นไข้ออกผื่นก็จะบอกให้คุณแม่ดูแลเด็กโดยให้กินยาลดไข้เพียงอย่างเดียวทุก 4 ชั่วโมง และให้เช็ดตัวลดไข้ด้วยน้ำอุ่น ค่อยๆ ให้ไข้ลดลงช้าๆ อย่าใช้น้ำเย็นเพราะจะทำให้เด็กมีไข้หนาวสั่น ทำให้ไข้กลับสูงมากขึ้น และคุณแม่ควรสังเกตดูว่าถ้าไข้ครบสามวันแล้ว ต่อมาไข้จะลดลงพร้อมกับเห็นผื่นขึ้นตามตัวและหน้า ผื่นเม็ดแดงๆจะกระจายทั่วๆไปไม่ต้องกังวลเพราะว่าอีกประมาณ2-3วันผื่นก็จะค่อยๆหายไปเองเด็กเกือบทุกคนมักมีปัญหานี้ค่ะ
เด็กเป็นผื่นลมพิษ
สิ่งที่ร่างกายแพ้ได้แก่ อาหารบางชนิดยาฝุ่นละออง สารเคมีเครื่องสำอาง ขนสัตว์ เช่นแมว กระต่าย คนที่เป็นลมพิษมักมีอาการตั้งแต่ทารกจนโต พบได้ในคนทุกวัย การปฐมพยาบาลให้ใช้ยาทาแก้แพ้ หรือใช้พลู ขยำทาถู หรือใช้ใจตำลึงขยำทาถู บรรเทาอาการคันได้ และหลีกเลี่ยงสิ่งที่ทำให้มีลมพิษ ถ้าไม่ดีขึ้นภายใน 1 สัปดาห์หรือเป็นบ่อยๆ ควรไปพบแพทย์
เด็กเป็นผื่นผ้าอ้อม
บางครั้งเกิดจากสาเหตุสบู่หรือผงซักฟอกที่ล้างออกไม่หมด ทำให้ระคายผิวหนัง บางคนเกิดจากสุขอนามัยไม่ดี รวมทั้งเด็กที่ใช้ยาปฎิชีวนะเป็นประจำซึ่งทำให้เชื้อแบคทีเรียและเชื้อราเจริญเติบโตผิดปกติการรักษาต้องดูว่าเดจากสาเหตุอะไรแล้วแก้ไขเสีย หากผื่นผ้าอ้อมมีอาการไม่รุนแรง อาจใช้ครีมบำรุงผิวที่ทำให้ผิวนุ่ม เช่น วาสลีน เอามาทาก็อาจจะหายได้ ถ้าเป็นมากควรไปพบแพทย์ ซึ่งอาจให้ยาสเตอรอยด์ชนิดอ่อนๆ มาทาเพื่อลดอาการระคายเคืองและอักเสบของผื่นผ้าอ้อม ถ้ามีเชื้อราหรือแบคทีเรียก็จะให้ทาแก้เชื้อรา หรือให้ยาปฎิชีวนะประเภททา
ปัญหาลูกติดพ่อ
“จริงๆ แล้ว การที่เด็กติดพ่อมาก และคุณแม่มีความกังวลว่า จะมีผลทำให้ลูกมีความสนใจเรื่องเพศตรงข้ามเร็วไปหรือไม่ ตรงนี้ขอตอบว่าคงไม่มีผลค่ะ เพราะจากลักษณะของคุณพ่อคุณแม่ที่แตกต่างกัน คือคุณแม่มีหน้าที่คอยเลี้ยงดูลูก ทำงานบ้าน ดูแลบ้าน ส่วนคุณพ่อเมื่อกลับมา ก็อยากเล่นกับลูก ทำให้เค้าสนุก มีเพื่อนเล่น ยิ่งถ้าคุณพ่อบางคนมีลักษณะเหมือนคุณแม่ คือทั้งเล่นกับลูก ช่วยคุณแม่ป้อนข้าวลูก ป้อนนมลูก อย่างนี้ไม่แปลกที่ลูกจะติดคุณพ่อมากกว่า แต่คุณแม่ก็ไม่ต้องกังวลไปหรอกนะคะ เพราะเมื่อลูกโตขึ้น เขาได้พบสังคมใหม่ พบเพื่อนใหม่ๆ อาการติดพ่อก็จะลดน้อยลง เพียงแต่เขาอาจจะมองคุณพ่อของเขาเป็นแบบอย่าง น่าเอาตาม
ขณะเดียวกัน ที่คุณแม่ถามมาว่า แล้ววันหนึ่งเขาจะเกิดไม่ติดพ่อขึ้นมา นั้นจะทำให้เขาไม่อยากเข้าใกล้หรือเล่นกับพ่อของเขาหรือไม่ อันนี้ก็เป็นความกังวลใจอย่างหนึ่ง คิดว่าคงกังวลเกินไปเพราะจริงๆ แล้ว แม้เขาจะโตขึ้น และไม่ค่อยติดพ่อหรือแม่เหมือนแต่ก่อน แต่ก็ไม่ได้หมายความว่า ความรักที่เขามีให้คุณพ่อคุณแม่จะลดน้อยลงนี่คะ เขาจะได้เรียนรู้อีกหลายอย่าง ซึ่งในนั้นก็จะรวมไปถึงการเข้าใจบทบาทหน้าที่ของคุณพ่อคุณแม่ว่า คุณพ่อมีหน้าทำงาน หาเงินมาจุนเจือครอบครัว ส่วนคุณแม่มีหน้าที่ช่วยดูแลหนู ไปรับไปส่งหนูเวลาไปโรงเรียน ทำอาหารให้หนูทาน พาหนูไปเที่ยว สอนโน่นนี่หนู สอนการบ้านหนู เหล่านี้เด็กจะค่อยๆ เรียนรู้และเข้าใจเองค่ะ
อย่างไรก็ดี หมอว่าการที่มีคุณช่วยดูแลลูกเป็นเรื่องที่ดีนะคะ คุณแม่จะได้มีเวลาไปทำอย่างอื่นบ้าง จะติดไปถึงเมื่อไรคงบอกไม่ได้หรอกค่ะ อย่างเด็กวัยขวบกว่าจะติดหนึบ เพราะมีอาการกลัว จะพลัดพรากจากคนรัก แต่พอโตขึ้นเขาจะเรียนรู้เอง อย่างไรแล้วลูกเค้าก็ยังรักคุณแม่ และก็คุณพ่อเหมือนเดิมนั่นล่ะค่ะ ไม่ต้องกลัวหรอกนะคะ”
เด็กออกหัดเช็ดตัวได้ไหม
เด็กที่ได้รับวัคซีนกันหัด มักไม่ค่อยจะออกหัด แต่อาจจะเป็นไวรัสชนิดอื่นๆ ที่ออกผื่นเช่นกัน ดังนั้นถ้าลูกมีเหงื่อมากก็เช็ดตัวได้ค่ะอย่าใช้น้ำร้อน เพราะผื่นจะยิ่งแดงมากขึ้น ใช้ผ้าพออุ่นๆหน่อยก็พอค่ะ อย่างไรก็ตามผื่นจะยุบตามเวลาของโรคค่ะ
สอนลูกอ่านหนังสือ
นอกจากอ่านนิทานกล่อมลูกก่อนนอนแล้วหรือสอนให้ลูกๆ หัดอ่านนิทานตอนหัดเข้าเรียนเขียนอ่านนั้นยังไม่พอ พ่อแม่ต้องซื้อหนังสือติดบ้านไว้เสมอ เลือกที่หลากหลายแนวที่เหมาะตามวัยของลูกเพื่อให้ลูกได้มีนิสัยรักการอ่านตามธรรมชาติ เพราะหนังสือมีอยู่ที่บ้านเสมอลูกก็จะหยิบหนังสือมาอ่าน เราต้องจำกัดเวลาลูกอย่าให้ลูกได้มีชั่วโมงของการอ่านหนังสือทุกวันแม้ว่าจะเป็นการ์ตูนบ้าง หนังสืออ่านเล่นบ้างก็ตาม
ตัวพ่อแม่เองก็สามารถทำได้ ควรที่จะฝึกเป็นคนรักการอ่านไปกับลูกด้วยแม้ว่าก่อนนี้พ่อแม่อาจจะไม่ใช่คนที่รักการอ่านมาก่อน
หนังสือเป็นสิ่งที่สอนลูกได้มากแม้จะไม่ได้สอนโดยตรงแต่ก็มีเรื่องราวมากมายที่ลูกจะได้เรียนรู้จากในนั้น อย่าให้ลูกเรียนรู้จากของเล่นสมัยใหม่แต่อย่างเดียว ของเล่นต่างๆ ตามยุคสมัยอาจจะสอนในเรื่องทักษะและไหวพริบแต่หนังสือนั้นสอนในสิ่งที่ลึกซึ้งเกินกว่าที่ลูกจะเรียนรู้จากเกมการละเล่นต่างๆ ที่เป็นเทคโนโลยีสมัยใหม่
ยกตัวอย่างเช่น นิทานเรื่องเดียวสามารถสอนให้ลูกมีจินตนาการอันบรรเจิดได้ สอนให้ลูกมองเห็นความดี ความชั่ว สอนให้ลูกเห็นความมีน้ำใจ ความอกตัญญู ความเสียสละ ความฉลาด เล่ห์เหลี่ยม การใช้ไหวพริบ การเอาตัวรอด และข้อสรุปต่างๆ มากมาย
การอ่านหนังสือของชนชาติอื่นก็ยังเป็นประโยชน์ในการเรียนรู้วัฒนธรรมอย่างอื่น และการยอมรับในความแตกต่างทางวัฒนธรรมและเชื้อชาติอื่นด้วย
มันอาจจะทำให้เราแตกฉานในการอ่านหนังสือกับการใช้ภาษาและการเรียนรู้ในเรื่องของการเรียบเรียงเขียนอ่าน ซึ่งเป็นการเล่าเรียนทั้งโดยทางตรงและทางอ้อมที่จะเป็นประโยชน์มหาศาลแก่ตัวลูกน้อย
ดังนั้นพ่อแม่ควรเห็นความสำคัญของการปลูกฝังให้ลูกเป็นคนชอบอ่าน โดยจะต้องสร้างนิสัยการอ่านที่หลากหลายให้ลูก อย่าจำกัดในเรื่องที่เป็นข้อมูลความรู้แต่เพียงอย่างเดียว ให้เด็กๆ ได้ผ่อนคลายอ่านหนังสือนิทานหรือเลือกหนังสืออ่านเล่นในแนวต่างๆ บ้าง อย่าลืมว่าพ่อแม่ก็ต้องอ่านเป็นเพื่อนลูกเช่นกัน
อันตรายจากรถหัดเดิน
หัวกระแทกพื้น
เมื่อได้อยู่ในรถหัดเดินที่เคลื่อนที่ได้อย่างรวดเร็ว เจ้าตัวเล็กจะสนุกกับการโถมตัวไปข้างหน้าและใช้ปลายเท้าถัดไปให้รถเคลื่อนที่ อย่างสนุกสนาน อาจทำให้สะดุดล้มเสียหลักหน้าและศรีษะกระแทกพื้นจนฟกช้ำ และหากรุนแรงอาจทำให้สมองกระทบกระเทือน เป็นอันตรายรุนแรงได้ ซึ่งคุณหมอเด็กหลายคนยืนยันว่าเด็กมาหาหมอด้วยสาเหตุนี้หลายรายเลยทีเดียว บางรายหน้าคว่ำลงไปในอ่างน้ำ หัวร้างข้างแตกก็มี ที่สำคัญเมื่ออยู่ในรถหัดเดิน พบว่าเด็กๆสามารถเคลื่อนที่ได้ไกลถึง 3 ฟุต ภายในเวลา 1 วินาที และด้วย ความเร็วขนาดนี้แม่คงวิ่งไปช่วยลูกไม่ทันแน่
เท้าถูกหนีบ
อีกอย่างนิ้วเท้าลูกอาจมีโอกาสไปขัดกับล้อหรือถูกทับ โดยเฉพาะในช่วงที่รถคว่ำแล้วเท้าอาจเกิดไปติดกับล้อหรือฐานของรถหัดเดินอาจทำให้นิ้วเท้าของลูกหักหรือร้าวได้ ด้วยอุบัติเหตุที่เกิดขึ้นกับเด็กๆนี่แหละค่ะทำให้หลายต่อหลายประเทศห้ามการใช้รถหัดเดินในประเทศของเขา ไม่ว่าจะเป็น อเมริกาหรือ อังกฤษ แต่บ้านเรายังไม่มีกฏหมายห้ามออกมาใช้กันพ่อแม่จึงยังใช้กันอยู่โดยไม่รู้พิษภัย
ตกจากที่สูง
อันตรายที่น่ากลัวที่สุดของรถเด็กหัดเดินคือการที่ลูกเล่นอยู่ในรถหัดเดินแล้วพลัดตกลงบันไดหรือที่สูงๆที่ไม่ได้กั้นราวบันไดไว้ อาจอันตรายถึงขั้นคอหัก สมองบอบช้ำ
ลดความสำพันธ์ระหว่างพ่อแม่ลูก
อย่างที่บอกว่าพ่อแม่สะดวกจะให้ลูกนั่งในรถหัดเดิน เพราะคิดว่าปลอดภัย ตัวเองทิ้งลูกไว้ได้ ซึ่งนอกจะทำให้เด็เกิดอุบัติเหตุอย่างเราๆรู้กันแล้ว ยังลดความสำพันธ์ระหว่างพ่อแม่ลูกด้วย เพราะพ่อแม่จะปล่อยลูกไว้แล้วไปทำอย่างอื่น กลับมาอีกทีลูกก็หลับคารถแล้ว แทนที่พ่อแม่จะได้อุ้ม ได้โอบกอดก็มีเวลาน้อยลง
ลูกไม่ยอมหย่านม
คุณแม่ มีคุณลูกอายุ 1 ขวบ 5 เดือน ยังไม่ยอมหย่าน้ำนมแม่คุณถามว่าผิดปกติไหม ก็คงไม่ค่อยปกติแต่คุณต้องให้อาหารเสริมให้ครบ 5 หมู่ และน้ำด้วย ลูกก็จะได้ไม่หิวค่ะ และคงคิดถึงนมแม่น้อยลง แต่กลางคืนลูกนอนร้องไห้ทุกคืนเมื่อคุณพาลูกไปไว้บ้านญาติ ลูกคงอยากให้มีคนนอนกอดตอนกลางคืนและดูดนมแม่ด้วย คุณคงต้องใช้วิธีอ่านนิทานให้ฟังตอนกลางคืน ก่อนและให้ลูกนอน โดยไม่ต้องให้ดูดนมจากคุณก็เป็นการฝึกลูกไปด้วยค่ะ ให้ห่างจากแม่ในตอนกลางคืนได้ คุณอาจให้จุกนมยาง ให้ลูกดูดตอนกลางคืน ถ้าลูกร้องไห้มาก ก็ใช้การดูดจุกนมแทนและค่อยๆ ให้เลิกจุกนมยางทีหลังค่ะ ลองดู บางคนก็ทำได้สำเร็จ ขึ้นกับการเลี้ยงดูมาในอดีต ถ้าเขาได้รับการตามใจมาก เขาจะไม่ยอมทำอะไรทั้งนั้น นอกจากตามใจลูกอย่างเดียว แต่คุณต้องค่อยๆแก้ไขค่ะ
ลูกไม่ยอมทานข้าว
ผมมีลูกชายสองขวบ แต่เขาไม่ค่อยชอบทานข้าวสักเท่าไหร่ วันๆกินแต่นมเป็นอาหารหลัก พอป้อนข้าวไม่ว่าจะเป็นเมนูไหนก็ไม่ยอมทาน ทานแต่นม ทั้งนมเปรี้ยวและนมธรรมดา ตอนนี้ผมและภรรยากำลังเครียดกันมาก กลัวเขาจะไม่ได้สารอาหารที่ครบถ้วน ส่วนอีกเรื่อง บ้านเราชอบดูทีวีมาก ไม่ว่าตรงจุดนี้จะมีปัญหา เกี่ยวกับการพัฒนาการเด็กหรือเปล่าครับ
คุณบอกว่า คุณมีลูกไม่ชอบกินข้าวลองเปลี่ยนเป็นอาหารอื่นๆเช่น ขนมปัง ไข่ดาว ซึ่งไม่ใช่ข้าว เป็นเมนูอาหารของชาวต่างชาติบ้าง ลูกคุณอาจจะกินและชอบเพราะตอนหมอไปอยู่ต่างประเทศเขาถามว่า ถ้าหมอไม่กินข้าวซักสองมื้อ จะตายหรือไม่ ต่างชาติเขาใช้ขนมปังคุณลองปิ้งให้กรอบนอกนุ่มใน อาจจะทำให้ลูกคุณชอบก็ได้ คงจะทำให้คุณและภรรยาเลิกเครียด เพราะการใช้อาหารเสริมให้ลูก เริ่มทีละน้อย อย่างละ 1 อย่าง เพื่อให้รู้ว่าแพ้อาหารชนิดไหน จะได้หยุดอาหารที่สงสัยวันแรกให้ 1-2 คำพอ วันที่ 2 เพิ่มอีก 1 คำ
ควรให้ตอนประมาณ 10 โมงเช้า หรือก่อนเที่ยง เพื่อมีเวลาสังเกตการได้ครึ่งหรือก่อนวันจะดีกว่าในตอนเย็นมีอาการตอนกลางคืน ทำให้วุ่นวายทั้งบ้าน บางคนลูกร้องไห้ทั้งคืนก็ไม่รู้ จำทำอะไรถูก ข้างบ้านก็ตื่นเพราะเสียงเด็กร้องไห้เป็นที่รำคาญของชาวบ้านค่ะ คุณลองขนมปังที่ทำเป็นแท่งๆ เขาก็สามารถหยิบถือเองได้ อาจจะชอบอีกด้วยค่ะ ส่วนการดูทีวี ก็เอาใจเด็กบ้างให้ดูการ์ตูนด้วย เด็กๆก็มีหัวใจค่ะ ซื้อซีดีการ์ตูนไปให้ดูก็จะดีค่ะ คุณเลือกที่มีพัฒนาทางสมองยิ่งดีค่ะ คุณต้องใส่สิ่งดีๆ เข้าในสมองของลูก แล้วลูกจำได้ค่ะ
ลูกคัดจมูกหายใจไม่ออก
ลูกคัดจมูกหายใจไม่ออก
ลูกสาววัย 10 เดือน ปัจจุบันน้ำหนัก 8.4 กก. สูงประมาณ 70 ซม. ลูกมีอาการคัดจมูก หายใจไม่ออก แต่ไม่มีอาการไอหรือจาม จะเอามือถูจมูกไปมาแสดงอาการหายใจไม่ออก ตอนกลางคืนยิ่งเป็นมากยิ่งนอนดิ้นแบบถูจมูกไปมา ดิฉันพยายามเอาวาเป็กซ์หยด และทาวิกส์ที่หลังหน้าอกตลอด และพยายามไม่ให้บ้านมีฝุ่นจนปัจจุบันต้องหายใจทางปาก คุณหมอลองพิจารณาที่สาเหตุต้องเป็นอย่างนี้ ด้วยค่ะ เคยพาไปหาหมอแล้วคุณหมอให้ยามากินก็กินไปซักพักก็ยังไม่ดีขึ้นเลย
อาการนี้ เป็นอาการของกลุ่มคนแพ้อากาศจนมีเยื่อหุ้มจมูกบวม หายใจไม่สะดวกได้ ซึ่งโดยทั่วๆไปแล้วจะพบได้น้อยมากในเด็กขวบแรกอย่างนี้ คุณแม่ไม่ได้เล่าให้ฟังว่าเป็นมานานเท่าไหร่แล้ว และได้รับการรักษาอย่างไร แต่ในภาพรวมคงจะเป็นเดือน และได้รัปทานยามาบ้างพอสมควรแต่ยังไม่มีอาการดีขึ้น
สาเหตุที่เด็กหายใจไม่ออกมีได้หลายอย่าง แต่ในระยะหลังเราพบว่าสาเหตุที่ไม่ใช่จากปัจจัยภายนอก เช่นพวกฝุ่นละออง หรือเกสรดอกไม้ต่างๆ ที่ปลิวมาทำให้เด็กแพ้อากาศ แต่อาจเป็นจากสิ่งกระตุ้นจากภายในร่างกายที่ลูกได้รับเข้าไปเช่น เด็กบางคนมีอาการแพ้นมวัว หรือจะมีการแพ้อาหารบางตัวที่รัปทาน แต่แทนที่จะออกมาเป็นลมพิษ ท้องเดิน อาจจะ ออกไปในรูปของทางเดินหายใจส่วนบนนี้ก็ได้ เพราะฉนั้นหมอแนะนำว่าคงต้องไปปรึกษากุมารแพทย์กันหน่อยเพื่อให้ลองวิฉัยแยกโรคอีกครั้งหนึ่ง และจะได้ดูแลรักษาให้เหมาะสม ไม่ควรปล่อยไปค่ะ
การพาลูกเที่ยว
การพาลูกเที่ยวควรพาลูกออกไปท่องเที่ยวในลักษณะของการผจญภัยและเรียนรู้จากโลกกว้างบ้าง อย่าส่งเสริมให้ลูกเล่นแต่เกมคอมพิวเตอร์หรือเล่นสนุกสนานแต่ภายในบ้านเพียงแค่นั้น แน่นอนว่าพ่อแม่ทุกคนย่อมห่วงความปลอดภัยของลูกแต่ คิดว่าเมื่ออยู่กับลูกตลอดเวลาอันตรายต่างๆ ย่อมไม่เกิดขึ้นกับลูกน้อยอย่างแน่นอน
การที่ ส่งเสริมให้ลูกออกไปเที่ยวในลักษณะของการผจญภัยบ้างเป็นการกระตุ้นให้เด็กได้เรียนรู้ ได้เก็บเกี่ยวประสบการณ์ ซึ่งอาจจะทำให้เด็กได้เรียนรู ้ไวกว่าเด็กคนอื่นในวัยเดียวกับเขา
เราอาจจะเคยสังเกตเห็นว่าฝรั่งมักจะพาลูกเล็กๆ ไปเที่ยวเชิงผจญภัยกันเป็นส่วนใหญ่ เช่น พาลูกไปตั้งแคมป์บนป่าเขา พาลูกไปท่องเที่ยวตากอากาศในสถานที่ที่ไม่ได้มีเครื่องอำนวยความสะดวกมากมายนัก ทำให้เด็กได้เก็บเกี่ยวประสบการณ์อย่างเป็นธรรมชาติโดยเป็นประสบการณ์ตรงและเด็กจะได้เรียนรู้จากตัวเองอย่างแท้จริงไม่ใช่แค่คำบอกเล่า หรือคำสั่งสอนจากพ่อแม่และครูเท่านั้น
การท่องเที่ยวเป็นกิจกรรมที่เสริมพัฒนาการของเด็กได้มากที่สุดแต่ทั้งนี้เราจะต้องเลือกการท่องเที่ยวที่หลากหลายออกไปโดยส่งเสริมให้เด็กได้ใช้ชีวิตอย่างผจญภัยบ้าง ทำให้เด็กได้เรียนรู้ถึงการพึ่งพาตนเองและการแก ้ไขปัญหาเฉพาะหน้าต่างๆ นอกจากนี้จะได้เรียนรู้เรื่องของธรรมชาติและโลกกว้างอย่างที่เด็กอาจจะค้นพบสิ่ง
ที่ตนเองสนใจได้ ทั้งนี้ทั้งนั้นน่าจะต้องคอยดูแลความปลอดภัยของลูกอย่างใกล้ชิดด้วย
เลิกใช้ผ้าอ้อมเมื่อไหร่ดี
ลูกยังใส่ผ้าอ้อมสำเร็จรูปนอนอยู่ ปกติแล้วเด็กควรจะเลิกใช้ผ้าอ้อมตอนกลางคืนตอนอายุเท่าไหร่ตอนนี้ลูกยังบอกตอนฉี่ไม่ได้ เราจะใช้เวลาจับฉี่เป็นระยะๆส่วนลูกคนเล็กสบายดี อารมณ์ดีกว่า กินง่ายกว่ากันเยอะ แข็งแรงมาก กำลังตั้งไข่ กำลังพูด ดิฉันเหนื่อยที่สุด ของท่สุดในระยะ 3 ปีที่ผ่านมา แต่ก็มีความสุขที่สุดเช่นกันที่ได้เห็นทั้ง 2 คนเล่นกันตีกัน แย่งของกัน คงจะต้องเหนื่อยถาวรอย่างนี้นาน แต่ก็ยินดีค่ะ
สำหรับการใช้ผ้าอ้อมสำเร็จรูปตอนกลางคืนนั้นเด็กจะเลิกใช้ได้ในอายุที่แตกต่างกันไป ขึ้นอยู่กับว่าทารกจะสามารถหยุดปัสสาวะรดอยู่ที่นอนในเวลากลางคืนเมื่ออายุ
เท่าไหร่ ส่วนมากเด็กจะหยุดปัสสาวะรดที่นอนตอนกลางคืน ก่อนอายุ 4-5 ปีซึ่งควรจะลดนมมื้อกลางดึกและนมมื้อก่อนเข้านอนด้วย คืออาจจะให้กินนมช่วงหลังอาหารเย็นหรือตอนหัวค่ำแทน
คุณแม่จะรู้ว่าลูกพร้อมจะหยุดหรือเลิกใช้ผ้าอ้อมก็จากการสังเกตในตอนเช้าว่า ผ้าอ้อมที่เขาใส่ก่อนนอนนั้นมีปัสสาวะหรือเปล่า เมื่อเด็กพร้อมที่จะเลิกในบางเช้า
ผ้าอ้อมจะแห้ง หากผ้าอ้อมแห้งติดต่อกันหลายๆวัน คุณแม่ก็ลองเลิกใช้ผ้าอ้อมได้ โดยในช่วงแรกๆหากกลัวว่าเด็กจะฉี่รดที่นิฃอนซึ่งอาจจะมีพลาดได้ในบางวัน คุณแม่ก็ใช้ผ้าพลาสติกปูรองใต้ผ้าปูที่นอนกันไว้ก่อน
หวังว่าคุณแม่จะเหนื่อยน้อยลงเรื่อยๆตามลำดับในการเลี้ยงลูกน่ารักทั้งสองคนและขอให้มีความสุขกับการเลี้ยงลูกมากๆขึ้นตลอดไป
การพูดคุยกันระหว่างครอบครัว
เด็กเก่งส่วนใหญ่นั้น จะเป็นเด็กที่ได้พูดคุยกับพ่อแม่และสมาชิกในครอบครัวอยู่ตลอดเวลา สังเกตง่ายๆ เด็กที่มีความขี้อาย ค่อนข้างมากหรือเด็กที่ค่อนข้างเก็บกดเมื่อไปดูที่บ้านแล้วจะพบว่าพ่อแม่จะไม่ค่อยได้พูดคุยกับเขามากนัก
ถ้าเราอยากให้ลูกเก่งเราจะต้องหมั่นพูดคุยกับลูกอยู่เสมอไม่ว่าจะเป็นเรื่องเล็กๆ น้อยๆ จนถึงเรื่อง ที่จะให้ข้อมูลความรู้กับลูก เพราะการที่พูดคุยกันนั้น เป็นการกระตุ้นพัฒนาการให้ลูกได้มีการติดต่อสื่อสารที่ดี
ในการพูดคุยกันนั้นพ่อแม่จะเป็นฝ่ายถามบ้างตอบบ้าง และลูกก็จะรู้จักเรียนรู้ทักษะในการถาม การหาคำตอบ การใช้ความคิดการแสดงความคิดเห็น รวมถึงการใช้เหตุผลหรือเรียนรู้ที่จะโต้แย้งคัดค้าน และมองต่างไปจากคนอื่นบ้าง
การพูดคุยกับลูกทำให้เราสามารถอบรมสั่งสอนลูกได้ถ้าเราได้ยินได้ฟังในสิ่งที่ลูกมีทัศนคติที่ผิดในเรื่องใดเรื่องหนึ่ง หรือได้รับรู้ข้อมูลผิดๆ อย่างอื่นมาเราจะได้แก้ไขให้ลูกอย่างถูกทางได้สามารถแนะนำและเสริมส่วนที่ควรจะรู้ในสิ่งอื่นๆ
เด็กที่พูดคุยกับพ่อแม่บ่อยจะเป็นคนที่กล้าพูดกล้าแสดงความคิดเห็นและยังเรียนรู้ยังไม่รู้ตัวว่าเขาควรจะยอมรอมชอมกับผู้อื่นหรือเป็นฝ่ายปลอบผู้อื่นบ้าง เป็นฝ่ายซักถามหรือเรียนรู้ที่จะตอบเลี่ยงไปอย่างอื่นอย่างใด การคุยกันนั้น เป็นการฝึกพัฒนาการของลูกได้อย่างกว้างขวางได้ละเอียดลึกซึ้งอย่างมากมายเพราะการคุยกันนั้นพ่อแม่และลูกสามารถที่จะคุยกันได้ในทุกๆ เรื่อง ส่วนที่พ่อแม่จะต้องใส่ใจก็คือพยายามหาหัวข้อในเรื่องน่าสนใจมาคุยกับลูกบ้างพยายามคุยกับลูกในเรื่องที่เขาได้เรียนรู้มากขึ้นไปเรื่อยๆพยายามหาหัวข้อที่หลากหลายนอกจากคุยเรื่องการ์ตูน เรื่องเพื่อนของลูกก็อาจคุยเรื่องอื่นๆ ที่พ่อแม่ตั้งคำถามกับลูกว่าเขามีความคิดเห็นหรือความรู้สึกอย่างไร
บางครั้งอาจจะให้ลูกเป็นฝ่ายเล่าเรื่องที่เขามีความรู้สึกไม่ชอบใจหรือประทับใจด้วยก็ได้
การสร้างความอดทนให้เด็ก
ถ้าลูกอยากกินขนมหรือหิวข้าวบางครั้งเราอาจจะสอนลูกว่าควรจะอดทนอีกสักครู่ และต้องให้เหตุผลลูกอย่างกระจ่างด้วยว่าเพราะอะไรเขาจึงจะต้องอดทน อย่าเพียงบอกว่าทนไปก่อนยังไม่ถึงเวลา เพราะการให้ลูกอดทนอย่างนั้นเท่ากับเป็นการบังคับลูกให้ต้องอดทน แต่ต้องสอนให้ลูกเข้าใจว่าควรจะอดทนเพราะอะไร
และในการสอนให้ลูกรู้จักอดทนรอเวลานั้น พ่อแม่เองจะต้องรักษาสัญญาและรักษาเวลากับลูกด้วย ยกตัวอย่าเช่น ถ้าแม่พูดว่า “ลูกจะต้องรออีกสักครู่ เพราะเราควรจะกินอาหารพร้อมกับคุณพ่อ”
เมื่อถึงเวลาสักครู่ตามสมควรแล้วคุณจะต้องรักษาสัญญานั้นด้วยการอนุญาตให้ลูกกินอาหารได้แม้ว่าคุณพ่อจะยังเดินทางมาไม่ถึงก็ตาม
นอกจากการให้เหตุผลในแต่ละข้อในการสอนให้ลูกอดทนแล้วพ่อแม่ยังจะต้องทำให้ลูกเข้าใจด้วยว่าการอดทนนั้นมันมีความสำคัญ และมีความจำเป็นอย่างไรในการใช้ชีวิต
ทำให้ลูกเรียนรู้ไปตั้งแต่เล็กๆ ว่าความอดทนอดกลั้นเป็นคุณสมบัติหนึ่งของคนที่มีความสามารถในการควบคุมอารมณ์ของตนเอง รู้จักที่จะยับยั้งและหักห้ามใจได้ซึ่งจะทำให้เรากลายเป็นคนมีอารมณ์อันมั่นคง สามารถที่จะดำเนินชีวิตอยู่ในสังคมและมีปฏิสัมพันธ์กับคนอื่นได้ง่าย มีความอดทนอดกลั้นมากพอที่จะไม่สร้างความขัดแย้งกับคนอื่นโดยไม่จำเป็น
แต่ทั้งนี้ในการสอนให้ลูกมีความอดทนเป็นนั้นจะต้องอธิบายให้ลูกเข้าใจด้วยว่า การอดทนนั้นเป็นการอดทนอดกลั้นรอเวลาที่เหมาะสม มิใช่เป็นการยินยอมตามคนอื่นหรือยอมตามสถานการณ์อยู่ตลอดเวลายกตัวอย่างเช่น ถ้าเราเข้าแถวรอเข้าห้องน้ำอยู่แล้วมีคนมาแซงคิวคุณก็จะต้องสอนให้ลูกกล้าพอที่จะบอกใครคนนั้นว่าเขากำลังแซงคิวเรา อย่าจำยอมอดทนให้คนอื่นแซ.คิวไปก่อนในขณะที่ทางเราก็ต้องการที่จะเข้าห้องน้ำและเราก็เข้าแถวรอคิวเป็นคนแรกแล้ว การอดทนในที่นี้คือการสอนให้ลูกรู้จักเวลาอันเหมาะสม รู้จักอดกลั้น รู้จักหักห้ามใจ และควบคุมอารมณ์ตนเอง เพราะถ้าไม่สอนให้ลูกรู้จักอดทนเลยลูกก็จะเอาแต่ใจตัวเอง แล้วเรียกร้องต้องการให้คนอื่นรอบข้างมาเอาใจตนเองแต่เพียงผู้เดียวอีกด้วย
เพื่อตัวเอง
ดังนั้นในแต่ละเรื่องที่พ่อแม่กระตุ้นพัฒนาการและเสริมส่งวุฒิภาวะของลูกควรจะต้องให้ลูกรู้สึกภาคภูมิใจในตนเองด้วย พร่ำพูดว่าแต่ จะต้องทำอย่างนั้นอย่างนี้เพื่อให้พ่อแม่พอใจและภูมิใจเมื่อมองว่าลูกมีความสามารถทำสิ่งใดได้อย่างน่าทึ่งพ่อแม่ก็ควรจะชื่นชมให้ลูกรู้ว่าพ่อแม่มีความภูมิใจในตัวเขา ซึ่งมันเป็นเรื่องที่แตกต่างระหว่างการย้ำให้ลูกรู้ว่าต้องทำอย่างนั้นอย่างนี้เพื่อพ่อแม่ แต่จงให้ลูกรู้สึกว่าถ้าทำอะไร ได้เป็นอย่างดีแล้วตัวลูกเองจะได้ประโยชน์อย่างไรบ้างและการทำดีนั้นก็จะทำให้พ่อแม่มีความสบายอกสบายใจและภาคภูมิใจในตัวลูกได้เช่นกัน
ถ้าลูกทำสิ่งใดไม่สำเร็จพ่อแม่ก็ต้องปลอบลูกว่าเราอาจจะไม่เก่งในเรื่องนั้นเรื่องนี้ซึ่งก็ไม่เป็นไร เราอาจจะไปพัฒนาด้านอื่นได้
อย่ากดดันลูกให้ลูกรู้สึกว่าต้องทำทุกสิ่งทุกอย่างเพื่อให้พ่อแม่ภาคภูมิใจอย่ากดดันลูกให้รู้สึกว่าลูกจะต้องเป็นเด็กที่เก่งเหมือนคนอื่น พ่อแม่จะได้ภาคภูมิใจ
แต่จงให้ลูกรู้สึกว่าถ้าลูกเก่งได้มันก็จะดีกับตัวลูกเอง แต่ถ้าลูกไม่เก่งเรื่องนี้ลูกอาจจะไปพัฒนาให้เก่งด้านอื่น หรือถ้าลูกไม่เก่งด้านใดเลย แค่ลูกเป็นคนดีและมีความสุข ลูกก็สามารถมีชีวิตที่ดีได้ และพ่อแม่ก็จะมีความสุขและภูมิใจไปกับลูกได้เช่นกัน
สอนให้ลูกช่วยเหลือตัวเอง
ความจริงแล้วเรื่องนี้เป็นเรื่องง่ายที่พ่อแม่จะสอนให้ลูกจะทำอะไร ด้วยตนเอง เช่นสอนให้ลูกสวมถุงเท้าด้วยตนเอง แต่งตัวของเขาเอง พับผ้าห่ม พับเสื้อผ้า หรือเก็บของเล่นของเขาใส่กล่องหลังจากที่เล่นเสร็จเรียบร้อยแล้วการสอนให้ลูกทำอะไรด้วยตัวเองอย่างน้อยก็เป็นเรื่องส่วนตัวของเขาเองนั้น เป็นการทำให้พ่อแม่เหนื่อยน้อยลงไปช่วยแบ่งเบาภาระเล็กๆ น้อยๆ ได้ แต่ส่วนที่สำคัญที่สุดก็คือลูกจะมีความสามารถช่วยเหลือดูแลพึ่งพาอาศัยตนองได้และเมื่อเขาดูแลตัวเองได้ตั้งแต่เล็กๆ เมื่อเขาเติบโตขึ้นไปตามวัยเขาก็จะพึ่งพาตัวเองได้ในด้านอื่นๆ มากขึ้นและแน่นอนว่าเมื่อเขาเติบโตขึ้นเป็นผู้ใหญ่ เขาก็จะสามารถพึ่งพาตัวเองมากกว่าที่จะคอยไปขอความช่วยเหลือจากคนอื่นอยู่ร่ำไป
การที่จะสอนให้ลูกช่วยเหลือดูแลตนเองได้นี้ตอนแรกพ่อแม่จะต้องช่วยเป็นพี่เลี้ยงคอยสอนลูกอย่างอดทนเสียก่อนจากนั้นก็ปล่อยให้ลูกช่วยเหลือตัวเองโดยการแนะนำอยู่ห่างๆ อย่าเข้าไปช่วยแก้ไขให้ลูกอยู่ตลอดเวลาจนลูกรู้สึกว่าไม่ได้หัดพึ่งตัวเอง อย่าลืมชมเชยลูกเมื่อเขาสามารถดูแลตัวเองได้เป็นอย่างดี เช่น การแต่งตัวไปโรงเรียนด้วยตัวเองอย่างเรียบร้อย
การส่งเสริมให้รู้จักช่วยเหลือตัวเองนี้นอกจากเป็นการกระตุ้นพัฒนาการเด็กแล้ว ยังเป็นการส่งเสริมให้ลูกสร้างความมั่นอกมั่นใจและภาคภูมิใจในตนเอง และเด็กยังรู้สึกอยากทำอะไรด้วยตนเองในเรื่องอื่นๆ อีกด้วย โดยไม่ต้องการความช่วยเหลือจากพ่อ แม่
การเปิดเผยความรู้สึกของพ่อแม่
ในครอบครัวจะมีความสุขได้ก็ต่อเมื่อทุกคนกล้าที่จะเปิดเผยความรู้สึกของตนเองมิใช่ปิดบังความคิดความในใจเอาไว้จนตัวเองเก็บกดและเผลอแสดงตัวเองออกมาโดยไม่รู้ถึงการแสดงออกในด้านลบต่างๆ
พ่อแม่เองควรจะแสดงให้ลูกได้เห็นตั้งแต่เด็กๆว่าตัวพ่อแม่เองควรจะแสดงให้ลูกได้เห็นตั้งแต่เด็กๆ ว่าตัวพ่อแม่เองกล้าที่จะแสดงความรู้สึกออกมาไม่ว่าจะเป็นความรู้สึกผิด ความรู้สึกเสียใจ ความรู้สึกโกรธ หรือความรู้สึกรัก ยกตัวอย่างเช่นถ้าวันหนึ่งคุณพ่อมีความรู้สึกผิดที่ลืมวันเกิดของคุณแม่ ผู้เป็นพ่อก็ควรจะพูดให้ลูกและรับรู้ว่าตนมีความรู้สึกเสียใจเพียงใดและจะแก้ปัญหานั้นด้วยการชดเชยจัดงานเลี้ยงหรือทำอะไรได้แค่ไหนอย่างไร
หรือวันหนึ่งคุณแม่รู้สึกโกรธคุณพ่อ นอกจากแอบไปทะเลาะกันตามลำพังแล้ว บางครั้งผู้เป็นแม่พูดให้ลูกได้เห็นและได้รับรู้ไว้บ้างว่าตนเองมีความรู้สึกโกรธนะที่พ่อผิดนัดหลายครั้งแล้วแต่ในการแสดงความรู้สึกออกมาให้ลูกเห็นนั้นต้องระวังว่าจะแสดงความรู้สึกออกมาในน้ำเสียงที่เหมือนการพูดคุยกัน อย่าแสดงความรู้สึกออกมาด้วยอารมณ์อันโกรธเคืองและรุนแรงเกินไปเพราะเด็กจะซึมซับเอาอารมณ์นั้นไปโดยไม่รู้ตัวเช่นกัน การพูดคุยเปิดอกกับแบบผู้ใหญ่ การใช้เหตุผลปรับความเข้าใจกัน การแสดงความรู้สึกออกมาว่าเรารู้สึกโกรธนะ เรารู้สึกผิดนะ หรือเรารู้สึกเสียใจเพียงใด การกระทำเช่นนี้จะทำให้ลูกกล้าที่จะแสดงความรู้สึกกับพ่อแม่ ณ วันหนึ่งเมื่อโตขึ้น เขากล้าที่จะบอกเราว่าเขารู้สึกอย่างไรภายในจิตใจของเขา แม้ว่าตอนนี้เขายังจะเป็นเด็กเล็กอยู่ แต่เขาจะมองเห็นความสัมพันธ์ในครอบครัวว่าทุกคนสามารถที่จะพูดความในใจออกมาได้และนั่นเป็นประโยชน์มากที่จะช่วยกันแก้ไขปัญหาได้หากวันใดวันหนึ่งลูกเราเกิดมีปัญหา
ลูกเก่งได้ด้วยความรัก
ซึ่งจริงๆแล้วเป็นวิธีผิดพลาดอย่างยิ่งเนื่องจากได้มีการวิเคราะห์วิจัยในทางจิตศาสตร์พบว่าเด็กๆที่พ่อแม่แกล้งงอนทำเฉยชาใส่เขานั้นเขาจะรู้สึกยิ่งเสียใจ รู้สึกโดดเดี่ยว เพราะหัวใจน้อยๆของลูกนั้นเป็นหัวใจที่มีความอ่อนไหวสูงถ้าเด็กทำผิดพ่อแม่ควรจะใช้เหตุผลอธิบายให้ลูกเข้าใจดีกว่า แต่การที่พ่อแม่แกล้งงอนไม่ให้ลูกมากอดแล้วตัวเองไม่เข้าไปกอดไปหอมลูกนั้นไม่ได้ช่วยให้เด็กรู้สึกว่าไม่ควรจะทำผิดอีกครั้ง แต่ในทางตรงกันข้ามเด็กเล็กๆ จะยิ่งเข้าใจว่าตนเองสูญเสียความรักความสนใจจากแม่ไปแล้วและจะมีความรู้สึกที่ไม่ดีนักกับตนเองการสอนให้ลูกเป็นเด็กเก่งมีความรับผิดชอบนั้นควรสอนให้ลูกเข้าใจความเป็นจริงว่าทำไมควรจะทำสิ่งนั้นสิ่งนี้แล้วลูกจะมีระเบียบวินัยได้ด้วยตนเอง
ไม่ว่าเด็กจะทำผิดอย่างใดพ่อแม่ก็ควรอบรมสั่งสอนอธิบายให้ลูกเข้าใจด้วยความรัก นั่นเป็นวิธีทางเดียวเท่านั้นที่จะทำให้ลูกไม่ทำผิดแบบเดิมอยู่บ่อยๆแต่การแกล้งไม่ให้ความรักลูกนั้นอาจจะเป็นวิธีทำให้ลูกเกิดความน้อยอกน้อยใจและมีความรู้สึกไม่ดีต่อตนเองแถมรู้สึกสูญเสียความภูมิอกภูมิใจในตนเองเสียด้วย
อย่าทำแทนลูก
การยอมรับผิดของเด็ก
เราอาจพบเห็นเด็กบางคนที่มีความสามารถสูง เป็นเด็กเก่งที่มีความเสียอกเสียใจอย่างมากในสิ่งที่เขาพลาดหวัง เคยมีบางเวทีเด็กเข้าร่วมประกวดเพื่อแสดงความสามารถต่างๆ โดยเฉพาะเห็นอยู่เสมอว่าจะมีเด็กที่มีความโกรธและไม่พอใจมาก หรือเสียใจมากที่ตัวเองไม่ได้ชนะเลิศในการแข่งขัน
นี่คือตัวอย่างที่ดีที่เราได้เห็นชัดว่า ยังมีพ่อแม่เป็นอีกจำนวนไม่น้อยเลยที่สอนให้ลูกเป็นเด็กเก่งได้ แต่สอนให้ลูกยอมรับความผิดหวังล้มเหลวไม่ได้
ในขณะที่ปลูกฝังให้ลูกได้พัฒนาความสามารถต่างๆ จนเป็นเด็กเก่งในด้านนั้นขึ้นมาแล้ว ที่จริงเราจะต้องไม่ลืมที่จะปลูกฝังให้เขาเปิดใจกว้างที่จะยอมรับความผิดพลาดล้มเหลวด้วย
ปลูกฝังให้ลูกเข้าใจว่าก่อนที่เราจะทำผิดพลาดไปบ้างนั้นไม่ใช่เรื่องใหญ่เลย เราสามารถเรียนรู้ว่าคราวต่อไปต้องเพิ่มความสามารถให้มากขึ้น
ในการยอมรับความผิดหวังนั้นทำให้เด็กสามารถที่จะเรียนรู้ได้อีกด้วยว่าเราควรจะยอมรับในความสำเร็จของคนอื่น ยอมรับในคนที่ชนะเรา เคารพและนับถือในสิ่งที่คนอื่นทำได้ดีกว่าเรา ในขนะเดียวกันก็หาทางพึ่งพาตัวเองต่อไป
ค่อยๆ สอนให้ลูกเข้าใจว่ามันเป็นเรื่องธรรมดาที่ทุกคนจะพบกับความผิดหวังหรือทำสิ่งใดผิดพลาด คนที่ไม่ยอมรับและนับถือผู้อื่นเลยต่างหากนี่คือสิ่งที่ผิดพลาดและน่าผิดหวังที่สุด
แบ่งเวลาใส่ใจต่อเด็ก
แต่ความจริงแล้วท่าทีไม่ใส่ใจของพ่อแม่นั้นมีความหมายกับลูกมาก เพราะเด็กจะคิดว่าเขาไม่มีความสำคัญสำหรับพ่อแม่เด็กๆ ทุกคนมีความต้องการมากที่จะรู้สึกว่าเขาเป็นคนสำคัญที่หนึ่งสำหรับพ่อแม่ของเขา ดังนั้นการที่คุณจะยอมผละจากงานแค่ไม่กี่นาทีมานั่งฟังลูกอย่างใส่ใจ ไถ่ถามลูก ตอบลูก หรือ เออออตั้งใจฟังลูกเพียงท่านั้นเด็กจะมีความรู้สึกมี
อิทธิพลของมารดาต่อทารกในครรภ์
ยิ่งไปกว่านั้นการศึกษาวิจัยยังพบว่าความคิดและความรู้สึกของมารดาที่ตั้งครรภ์มีผลกระทบกระเทือนต่อทารกในครรภ์ได้แม้แต่มารดาที่ตั้งครรภ์อยู่ เพียงเกิดความรู้สึกอยากสูบบุหรี่ ก็จะพบว่าหัวใจของทารกในครรภ์เต้นเร็วอย่างชัดเจน
นักวิจัยหลายท่านมีความเห็นตรงกันว่า ความสำพันธ์ระหว่างมารดา และทารกในช่วงตั้งครรภ์ มีความสำคัญอย่างยิ่งยวดยิ่งมีความผูกพันมากเท่าไร ทารกที่คลอดออกมายิ่งมีจิตใจแจ่มใส สงบ ตอบสนองต่อการเลี้ยงดูง่ายขึ้นเพราะทารกเคยชินต่อเสียงและการสัมผัสของมารดาผู้ตั้งครรภ์ รวมทั้งความผูกพันทางจิตใจ ซึ่งเกิดจากความสำพันธ์และเกี่ยวดองกันอย่างแน่แฟ้นมาก่อน ในทางตรงกันข้ามหากมารดาผู้ตั้งครรภ์รู้สึกไม่พอใจกับการตั้งครรภ์ มีความรู้สึกว่าตั้งครรภ์เป็นอุปสรรคต่อชีวิตก็จะส่งผลก่อให้เกิดความเครียดต่อทารกในครรภ์ได้เช่นเดียวกัน
เมื่อถึงตรงนี้เราคงค้นพบความจริงที่ว่าความผูกพันของแม่มีอิทธิพลต่อลูกน้อยในครรภ์อย่างแน่นอน
การรับรู้ด้านการมองเห็นของทารกในครรภ์
ได้มีการการทดลดลองวิจัย ที่ทำให้ทราบได้ว่าทารกสามารถมองเห็นได้ตั้งแต่อยู่ในครรภ์มารดา โดยได้ทดลองการฉายแสงผ่านเข้าสู่มดลูก และที่แสงผ่านจะเห็นทารกมีปฎิกริยาเกิดขึ้นคือมีการเต้นของหัวใจที่เร็วกว่าปกติ
และเมื่อผู้ทดลองได้ลองเพิ่มแสงสว่างมากขึ้นทำให้เกิดแสงจ้ามากเกินไป ทารกในครรภ์จะสามารถยกมือขึ้นปิดหน้าผากเพื่อกั้นแสงจ้านั้นได้ ซึ่งดูแล้วน่าอัศจรรย์ใจอย่างยิ่ง
จะเห็นได้ว่าขณะที่ทารกอยู่ในครรภ์นั้น ธรรมชาติได้เตรียมพร้อมให้กับทารกในการพัฒนาการรับรู้ทางประสาทสัมผัสด้านต่างๆไว้ก่อนออกสู่โลกภายนอกแม้แต่ระบบประสาทสัมผัสการรับกลิ่นได้ตั้งแต่อยู่ในครรภ์ของมารดา แต่เนื่องจากอยู่ในครรภ์ จึงทำให้เห็นความสามารถนี้ไม่ชัดเจน
สิ่งแวดล้อมกับพัฒนาการเด็ก
หรือแม้ว่ามนุษย์โลกซึ่งแบ่งเป็นสองเพศคือชายและหญิงสภาพแวดล้อมยังเป็นเหตุทำให้เกิดมนุษย์พันธ์ใหม่ คือชายครึ่งหญิงครึ่งได้ชีวิตของคนเราจะดีร้ายหรือเปลี่ยนแปลงอย่างไรจึงขึ้นอยู่กับสิ่งแวดล้อมมิใช่น้อยโดยเฉพาะทารกนั้นอาจกล่าวได้ว่าสิ่งแวดล้อมมีผลต่ออารมภ์ จิตใจของทารกไม่ยิ่งหย่อนไปกว่าผู้ใหญ่คนใดเลย
ทารกกับมลภาวะ
Lorence M.Schell นักวิจัยชาวอเมริกันได้ทำการวิจัยถึงผลกระทบของสภาพแวดล้อมที่มีผลต่อการตั้งครรภ์พบว่ามารดาที่ตั้งครรภ์ และอาศัยอยู่ใกล้บริเวณสนามบินนั้น ทารกจะได้รับความกระทบกระเทือนจากเสียงเครื่องบินในเวลาบินขึ้นและนำเครื่องร่อนลง อันถือเป็นมลภาวะทางเสียงต่อทารกในครรภ์ โดยทารกที่คลอดมามีลักษณะ
♥ น้ำหนักน้อยกว่าเกณฑ์ปกติ
♥ มักคลอดก่อนกำหนด
♥ ทารกแรกคลอดจะกระสับกระส่ายตกใจง่าย
♥ เลี้ยงยาก ร้องไห้เก่ง
ข้อพึงปฎิบัติ
♥ ในระหว่างตั้งครรภ์ ควรเสริมสร้างทารกในครรภ์ด้วยอาหารที่มีโปรตีนสูงเพื่อสร้างเซลล์สมองทารกในครรภ์ให้มีขนาดสมบูรณ์สุดขอแนะนำให้คุณแม่ดื่มนมวันละ 1 ลิตร ไข่ไก่ 2 ฟอง รับประทานเนื้อสัตว์โดยเฉพาะเนื้อปลาให้มาก รวมทั้งผักผลไม้ และยาบำรุงครรภ์ที่แพทย์ให้มาให้มาก
♥ระหว่างตั้งครรภ์ ควรพยายามหลีกเลี่ยงสิ่งแวดล้อมที่เป็นพิษเท่าที่จะทำได้ เช่นหลีกเลี่ยงเสียงหนวกหู เสียงรบกวนต่างๆ หลีกเลี่ยงการอยู่ในสถานที่แออัดหรือมีอากาศถ่ายเทไม่สะดวก ควรสร้างบรรยากาศและสภาพแวดล้อมที่ดีอันจะเป็นผลดีต่อทารก
โภชนาการอาหารระหว่างตั้งครรภ์
ในระหว่างตั้งครรภ์นั้น ทารกมีการเจริญเติบโตอย่างมากมายและรวดเร็ว จึงจำเป็นต้องอาศัยอาหารเป็นตัวเสริมสร้างความเจริญทั้งทางร่างกายและสมอง ถ้าผู้ตั้งครรภ์รู้จักเลือกรับประทาน อาหารที่มีประโยชน์ และควรหลีกเลี่ยงอาหารที่ให้โทษแก่ทารกในครรภ์ก็จะทำให้ทารกที่เกิดมามีสุขภาพที่ แข็งแรง สมบูรณ์ มีสติปัญญาดี
สารอาหารโปรตีน เช่น เนื้อ นม ไข่ มีความสำคัญอย่างยิ่งในการเสริมสร้าง ขนาดของคุณภาพสมอง ซึ่งมีส่วนสำคัญในการกำหนดสติปัญญาและความเฉลียวฉลาดของเด็ก เนื่องจากเซลล์สมองของมนุษย์มีขนาดใหญ่และมีเส้นใยสมองมากนั้นจะเป็นสมองที่เฉลียวฉลาดดังนั้นถ้ามารดาตั้งครรภ์ได้รับสารโปรตีนน้อย เซลล์สมองย่อมมีขนาดเล็ก ทารกที่ออกมาจะมีสติปัญญาต่ำได้ นอกจากนี้สารจำพวกวิตามินบี ยังมีส่วนสำคัญในระหว่างตั้งครรภ์ เพราะนอกจากจะช่วยเสริมสร้างระบบประสาทแล้ว ยังช่วยให้การทำงานของเซลล์สมองเป็นไปอย่างมีประสิทธิภาพ
ฉะนั้นการที่ทารกในครรภ์จะมีสติปัญญามากน้อยเพียงใดนั้นอาหารเป็นตัวกำหนดที่สำคัญตัวหนึ่ง
กรรมพันธุ์เด็ก
ยีนในส่วนของเซลล์สมองมีหน้าที่กำหนดคุณภาพสมองความเฉลียวฉลาด พ่อแม่ที่มีความฉลาด มีไหวพริบดี ก็ถ่ายทอดยีนส่วนนี้ไปยังลูก ทำให้มีลักษณะฉลาดคล้ายคลึงพ่อแม่
กรรมพันธุ์จึงเป็นส่วนหนึ่งที่กำหนดคุณภาพทารก ทารกในครรภ์จะฉลาดมากน้อยเพียงไรก็ขึ้นอยู่กับยีนที่พ่อแม่ให้มานั่นเองและอนาคตข้างหน้า เมื่อพันธุวิศวกรรมศาสตร์เจริญก้าวหน้ากว่านี้เราอาจเลือกคุณภาพของลูกแบบไหนก็ได้เช่น ถ้าต้องการให้ลูกตาสีฟ้า เราก็กำหนดยีนตาสีฟ้าเข้าไป หรือหากต้องการให้ลูกฉลาดมากๆก็อาจใส่ยีนที่กำหนดความฉลาดนั้นๆเข้าไปได้อย่างไรก็ดีเป็นข้อถกเถียงกันว่าพันธุวิศวกรรมศาสตร์นั้นเป็นการทำให้มนุษย์ผิดไปจากธรรมชาติหรือไม่ ซึ่งยังหาข้อสรุปไม่ได้ในปัจจุบัน
ปัจจัยส่งเสริมคุณภาพทารก
คุณภาพทารกที่ดีเป็นอย่างไร
คำว่า คุณภาพ นั้นคงมิได้หมายถึงแต่เพียงทำอย่างไรให้ลูกฉลาดอย่างที่หลายคนเข้าใจเท่านั้น คำว่า คุณภาพยังหมายถึง
♥ ทำอย่างไร ให้ลูกมีพัฒนาการทางร่างกายที่ดี มีสุขภาพร่างกายที่แข็งแรงสมบูรณ์
♥ ทำอย่างไรให้ลูกมีจิตใจที่แจ่มใส สงบ เยือกเย็น อารมณ์ดี ไม่ก้าวร้าว
♥ทำอย่างไรให้ลูกมีการตอบสนองสังคมที่ดีกล่าวคือมีสติ มีไหวพริบในการตอบสนองต่อสิ่งเร้า หรือเหตุการณ์ที่พบเห็นได้ดี
♥ และประการสุดท้ายคงหนีไม่พ้น ทำอย่างไรให้ลูกมีสติปัญญาที่ดี มีประสิทธิภาพในการเรียนรู้เร็วขึ้น
การที่จะให้ลูกมีคุณภาพดังหัวข้อที่กล่าวมานี้ปัจจัยที่เป็นตัวกำหนดในเรื่องเหล่านี้มีความสำคัญมาก เพราะหากผู้ตั้งครรภ์ได้สนใจหรือดูแลปัจจัยที่กำหนดคุณภาพเหล่านี้ตั้งแต่เริ่มตั้งครรภ์ ปัจจัยเหล่านี้จะช่วยเอื้ออำนวยต่อคุณภาพทารกได้ ปัจจัยสำคัญที่เป็นตัวกำหนดคุณภาพทารกมีดังนี้
รูปลักษณ์ของลูก
ถ้าคุณอยากให้ลูกเป็นเด็กที่เก่งและมีความสุขคุณจะต้องทำให้ลูกมีความรู้สึกพออกพอใจในตนเองเป็นอันดับแรกพ่อแม่ไม่จำเป็นต้องชมลูกจนเกินเลยความจริงหรือชื่นชมแต่เรื่องหน้าตาหรือรูปร่างของลูกตลอดเวลาบ่อยจนเกินไป เพียงแต่ต้องทำให้ลูกรู้สึกบ้างว่าตนเองก็มีความน่ารักน่าภาคภูมิใจในตัวของเขาเองได้
ในขณะเดียวกันต้องปลูกฝังให้ลูกรู้จักภาคภูมิใจในรูปลักษณ์ของตนเองมิใช่ในแง่ที่ว่ามั่นใจว่าตัวเองหน้าตาดี แต่สอนให้เด็กรู้ว่ามีส่วนที่ดีในตัวของลูกเพื่อที่เด็กจะไม่เป็น เด็กที่คิดแต่เรื่องรูปลักษณ์ภายนอกเป็นจุดสำคัญ
แม้กระทั่งการพูดถึงคนอื่นหรือการชมโทรทัศน์พ่อแม่ก็ต้องปลูกฝังให้ลูกได้ยินอยู่เสมอว่าถึงคนนั้นหน้าตาไม่หล่อเท่าคนนี้แต่คนนั้นเขามีผิวพรรณที่ดีนะ หรือมีรูปร่างดี มีเส้นผมที่สวยหรือมีใบหน้าที่เบิกบานแจ่มใสและยิ้มหวานอยู่เป็นนิตย์ เป็นต้น การทำให้ลูกมีความพอใจในตนเองมีความภาคภูมิในในรูปลักษณ์ไม่ว่าจะเป็นหน้าตาหรือรูปร่างของตนเองการรู้จักแต่งกายที่ดี และสะอาดถูกกาลเทศะ สิ่งต่างๆเหล่านี้ทำให้ลูกมีความมั่นใจในตนเองเพราะเมื่อไรก็ตามถ้าเด็กรู้สึกขาดความมั่นใจในตนเอง รู้สึกอับอายในรูปลักษณ์ของตนเองแล้ว เด็กก็อาจมีปัญหาในเรื่องของการใช้ชีวิตในด้านอื่นๆด้วยเช่นกัน
การจัดการหน้าที่รับผิดชอบให้ลูก
ถ้าคุณมีลูกสองคนอาจแบ่งหน้าที่ให้ลูกทั้งสองในการทำงานบ้านต่างๆ เช่นวันจันทร์เป็นเวรของคนพี่ที่1ช่วยเก็บขยะในครัวไปทิ้ง วันอังคารอาจจะเป็นเวรของน้องบ้างหรือคุณพี่มีหน้าที่ช่วยคุณแม่ล้างจานในขณะที่คุณน้องมีหน้าที่ช่วยเก็บเสื้อผ้าชองตัวเองและของพี่ ไปใส่ตะกร้า เสื้อผ้าสำหรับให้คุณพ่อคุณแม่ซัก เป็นต้น แม้ว่าจะมีลูกเพียงคนเดียวก็สามารถจัดหน้าที่ให้ลูกรับผิดชอบได้ในแต่ละวัน เช่น ลูกต้องมีหน้าที่เก็บรองเท้าของตนไปวางให้เรียบร้อยถอดเสื้อผ้าใส่ตะกร้า เก็บของเล่นใส่กล่องหรือช่วยทิ้งขยะให้คุณพ่อคุณแม่
ถ้าเด็กได้เรียนรู้ที่จะรับผิดชอบหน้าที่เล็กๆน้อยๆของตนเองในแต่ละวันเด็กก็จะชินกับการมีภาระหน้าที่ที่จะรับผิดชอบจะไม่รู้สึกว่าการมีหน้าที่เป็นเรื่องของการทำงานที่น่าเบื่อหน่าย คุณพ่อ คุณแม่เองจะไม่ต้องเหนื่อยกับการพร่ำเพรื่อเพื่อตักเตือนลูก เด็กจะคุ้นชินกับระเบียนภายในบ้าน ซึ่งหมายถึงเมื่อเขาเติบโตไปภายหน้าเขาก็จะเป็นผู้ใหญ่ที่มีความรับผิดชอบ และมีระเบียบวินัยในชีวิตของตัวเอง
นอกจากคุณพ่อคุณแม่จะช่วยจัดแบ่งหน้าที่ให้ลูกรับผิดชอบแล้วก็ยังควรจะต้องหมั่นชมเชยลูกด้วยว่าสัปดาห์นี้ลูกเก่งจังเลยที่สามารถรับผิดชอบหน้าที่รับผิดชอบของตนเองได้อย่างดีไม่มีขาดตกบกพร่องในขณะเดียวกันถ้าวันใดลูกละเลยหน้าที่ของตนเองบ้าง ก็ไม่ควรจะเข้มงวดหรือตำหนิจนลูกรู้สึกผิดมากมายนัก ควรยืดหยุ่นให้ลูกสำนึกในหน้าที่ของตนเองจะดีกว่า เมื่อเด็กๆ สามารถรับผิดชอบในหน้าที่ของตนเองได้เป็นอย่างดีตั้งแต่เรื่องเล็กๆน้อยๆเขาก็จะสามารถรับผิดชอบเรื่องใหญ่ๆ ขึ้นได้ และเขาจะเป็นเด็กเก่งที่มีความภาคภูมิใจไม่น้อยเลย
สอนให้เด็กเก่งตามวัย
ถ้าลูกเล็กเกินกว่าที่จะไปเรียนพิเศษวิชาคณิตศาสตร์หรือวิชาอื่นๆ ก็ควรให้เรียนเท่าที่สมวัยแก่ลูก มีพ่อแม่ในยุคสมันนี้จำนวนไม่น้อยเลยที่พาลูกเล็กๆ ไปเรียนพิเศษทุกๆเย็นรวมทั้งในวันเสาร์อาทิตย์ที่ควรเป็นวันหยุดพักผ่อนของลูกด้วย
อย่าลืมว่าเด็กทั้งหลายนั้นจะเป็นเด็กเก่งได้ก็ต่อเมื่อเด็กๆได้มีการพัฒนาตามขั้นตอนของตัวเอง เด็กควรมีเวลาพักผ่อน มีเวลาเล่นอย่างมีความสุขและรู้สึกผ่อนคลายตามวัยของเด็กถ้าเราถูกบังคับจนรู้สึกเครียดเด็กคงไม่สนุก ไม่มีความรู้สึกรักในสิ่งที่เรายัดเหยียดให้ลูกอย่างแน่นอน หากเด็กเติบโตอย่างสมบูรณ์เหมาะสมที่จะเรียนรู้เพิ่มเติมในสิ่งใดก็คอยกระตุ้นพัฒนาการในช่วงนั้น อย่าลืมว่าเราไม่สามารถที่จะบังคับให้เด็กเดินหรือวิ่งได้เลยถ้าเด็กมิได้หัดคลานเสียก่อน
เป็นตัวอย่างที่ดีสำหรับเด็ก
ทุกความคิดและทุกการกระทำในการดำเนินชีวิตในแต่ละวันนั้นแหละที่เป็นแนวทางใช้ชีวิตของลูก ลูกจะเป็นเด็กเก่งหรือไม่มิได้อยู่ท่ารอบรมสั่งสอนลูกเท่านั้น แต่อยู่ที่รูปแบบและวิธีการใช้ชีวิตของพ่อแม่นั่นเอง
ไม่ควรบังคับเด็ก
ยกตัวอย่างเช่น ถ้าคุณต้องการให้ลูกเก็บของที่รกอยู่ในห้องรับแขก แทนที่คุณจะสั่งลูกว่าเก็บของเสียสิเพราะมันรก คุณควรจะบอกลูกว่าลูกควรจะเก็บของเล่นของลูกให้เรียบร้อยเพราะว่ามันจะทำให้บ้านรกและทำให้แม่เหนื่อยขึ้นที่ต้องมานั่งเก็บของเล่นลูกแทนที่จะได้ไปอาบน้ำพักผ่อนหรือแทนที่จะได้ไปทำอาหารให้ลูกๆหรือคุณพ่อกิน และถ้าลุกเก็บของเล่นแล้วลุกก็ได้ชื่อว่ามีส่วนช่วยแบ่งเบาภาระคุณแม่และยังทำให้บ้านสะอาดอีกด้วย
วิธียกเหตุผลให้ลูกเห็นว่าเพราะอะไรลูกถึงควรทำไม่ใช่สั่งแต่ว่าเขาต้องเก็บของเล่นเพียงเพราะแม่สั่งให้ทำไม่ว่าจะเป็นเรื่องใดๆหากเรารู้จักใช้เหตุผลอยู่ตลอดเวลาว่าอะไรจึงควรทำแบบนั้น เพราะอะไรจึงควรทำแบบนี้ลูกจะเติบโตเป็นเด็กที่มีเหตุผลกับคนอื่น ลูกจะเป็นเด็กที่มีความภูมิใจในตัวเองด้วย
แต่ในขณะเดียวกันถ้าเราใช้คำสั่งลูกอยู่ตลอดเวลาอย่างพ่อแม่ที่ค่อนข้างเผด็จการลูกอาจทำตามพ่อแม่สั่งแต่ในใจอาจจะกลายเป็นเด็กที่เกลียดการใช้คำสั่ง และส่วนเสียก็คือลูกจะไม่รู้ว่าเพราะอะไรถึงควรทำสิ่งนั้นสิ่งนี้ รู้แต่ว่าอยากให้ทำอะไรก็สั่งมาคล้ายกับว่าเขามีหน้าที่ที่จะทำตามคำสั่งเท่านั้น ซึ่งแน่นอนว่าเขาก็จะเป็นเด็กที่ไม่มีความนับถือตนเอง และก็ไม่มีความรู้สึกอยากที่จะคิดหรือทำอะไรด้วยตัวเองเลย
เพลงเด็ก
การแก้ปัญหาของเด็ก
ปัญหาเล็กๆน้อยๆ จนถึงปัญหาใหญ่บางครั้งเราก็ต้องใช้วิธีกระตุ้นให้ลูกคิดหาทางแก้ปัญหาเองแทนที่จะช่วยแก้ไขปัญหาทุกอย่างให้ลูกมิเฃ่นนั้นลูกจะไม่สามารถพึ่งพาตัวเองได้เลยและคอยที่จะคอยความช่วยเหลือจากพ่อแม่ หรือคนรอบข้างอยู่ร่ำไป ปัญหาบางเรื่องถ้าลูกแก้ปัญหาไม่ได้เราก็ค่อยๆ ช่วยคิดช่วยชี้นำหรือเสนอทางเลือก 2-3 ทางเลือก มิใช่คอยแก้ปัญหาให้อย่างเบ็ดเสร็จเรียบร้อยเสมอไปทุกครั้ง คุณต้องให้เลลาในการอยู่กับลูก ให้เด็กเล่าถึงปัญหาจากนั้นก็ลองให้ลูกหาวิธีแก้ปัญหาหลายๆ ทางแล้วให้ลูกเลือกทางแก้หรืออาจจะช่วยให้กำลังใจ ช่วยเสนอทางเลือกในการแก้ปัญหาให้ คอยสนับสนุนให้กำลังใจลูก สอนวิธีคิดให้ลูกอย่างน้อยก็กระตุ้นให้เขากล้าที่จะเผเชิญปัญหาก่อนที่จะหนีปัญหา
สอนให้ลูกเข้าใจด้วยว่าปัญหาบางเรื่องเมื่อเราแก้ไขแล้วยังแก้ไขได้ไม่ดีก็ไม่ใช่เรื่องผิด เราสามารถที่จะคิดใหม่ และลองแก้ไขอักครั้งดีกว่าที่จะโยนปัญหาทิ้งหรือวิ่งไปขอความช่วยเหลือจากใครแต่เพียงผู้เดียว
ตั้งใจฟังเด็กน้อย
เพราะเขารู้สึกว่าเขาไม่ได้รับความสนใจอย่างเด็กอื่นๆ มีคนสนใจ
เด็กน้อยเริ่มเที่ยวสู่โลกกว้าง
ถ้าลูกโตพอที่จะออกไปทำกิจกรรมต่างๆกับเพื่อนๆ เด็กด้วยกันได้แล้วพ่อแม่ก็ต้องทำใจปล่อยให้ลูกไปมีกิจกรรมของเขาโดยสนับสนุนให้เขาได้เรียนรู้การเข้าสังคมและเรียนรู้จากโลกกว้างต่อไป อย่าเก็บลูกไว้เพียงภายในบ้านเพราะกลัวจะมีอันตรายอยู่เสมอไปการที่ปล่อยให้ลูกไปทำกิจกรรมกับเพื่อนๆการที่ปล่อยลูกไปเข้าแคมป์ ไปเข้าค่ายสัมมนาต่างๆล้วนแล้วแต่มีประโยชน์ทั้งสิ้นเพราะการที่ลูกได้อยู่กลุ่มเด็กอื่นๆนั้นทำให้เด็กได้เติบโตทางความคิด เป็นการกระตุ้นวุฒิภาวะของลูก เขาได้เรียนรู้จากการเข้าได้กับผู้คน การมีมารยาทกับผู้อื่น การแสดงความคิดเห็นการยอมรับบุคคลอื่นๆ เพราะสังคมน้อยๆของเขานั้นมีคนที่มีลักษณะนิสัยแตกต่างกันออกไปไม่น้อยเลยอย่างแน่นอน
การที่ลูกมีกิจกรรมต่างๆที่โรงเรียนพ่อแม่เองก็ควรจะไปดูแลชื่นชมด้วยเสมอถ้าโรงเรียนเชิญให้ผู้ปกครองไปร่วมงานได้ด้วยเพราะมันจะเป็นกำลังใจให้ลูกได้รู้สึกภาคภูมิใจที่พ่อแม่ชื่นชมในความสามารถของเขา และเป็นส่วนที่คอยสนับสนุนในกิจกรรมของเขาอย่างสม่ำเสมอ
การอนุญาตให้เด็กไปเรียนรู้สิ่งใหม่ๆ ในโลกกว้างนั้นก็เท่ากับส่งเสริมให้เขาไปเรียนรู้จากชีวิตและพัฒนาการในด้านต่างๆได้อย่างกว้างขวาง เพราะเป็นการเรียนรู้โดยไม่รู้ตัวและเป็นการเรียนรู้ในเรื่องต่างๆมากมาย ที่เพียงแค่ในห้องเรียนหรือเพียงแค่การสอนของพ่อแม่ในห้องครัวอาจจะสอนได้ไม่ละเอียดกว้างขวางเท่านั้น
เรื่องของเวลาของเด็ก
เพราะถ้าแม่และสมาชิกทำอะไรไร้ระบบระเบียบไม่เป็นเวล่ำเวลาเลยลูกก็ซึมซับเอาวิถีชีวิตในลักษณะนั้นอย่างง่ายดาย
การแสดงความคิดเห็นของเด็ก
แต่ถ้าเราไม่เคยให้ลูกแสดงความคิดเห็นอะไรหรือหรือไม่เคยให้ลูกมีส่วนร่วมในการตัดสินใจอะไรเลย ลูกก็จะไม่รู้สึกถึงความสำคัญในฐานะของสมาชิกในบ้าน และเขาจะกลายเป็นเด็กที่ไม่กล้าแสดงความคิดเห็น ไม่กล้าที่จะตัดสินใจและอาจจะเก็บกดเพราะต้องเก็บความรู้สึกไว้ในบางครั้งที่ไม่เห็นด้วยกับคนอื่น แต่ไม่มีโอกาสได้แสดงความคิดเห็นอะไรได้บ้าง แต่ต้องทำตามที่คนอื่นตัดสินใจอยู่ร่ำไป
ดังนั้นไม่ว่าจะเป็นการพูดคุยในเรื่องเล็กๆ น้อยๆ แม้บางเรื่องจะไม่ต้องการข้อสรุปด้วยการตัดสินใจของพ่อแม่ก็ควรจะเปิดโอกาสให้ลูกได้แสดงความคิดเห็นหรือข้อแนะนำต่างๆ ออกมาบ้างแม้เขาจะเป็นเด็กเล็กๆ ในวัยเพียงไม่กี่ขวบก็ตาม
น้ำนมแม่
ฉะนั้นคุณยังต้องดูแลเรื่องอาหารของตนเองให้ครบถ้วนเช่นเดียวกับตอนตั้งครรภ์และได้รับพลังงานจากอาหารเพิ่มขึ้นจากปกติวันละ 500 กิโลแคลอรี เพื่อให้น้ำนมคุณมีคุณค่าสารอาหารครบถ้วนสำหรับลูกน้อยหลัง6เดือนไปแล้วนมแม่ยังถือเป็นอาหารหลักที่มีความจำเป็นสำหรับลูกอยู่
แต่ต้องได้รับอาหารเสริมควบคู่ไปด้วยเพื่อให้เพียงพอกับความต้องการของร่างกายการให้อาหารประเภทเนื้อสัตว์และไข่ในช่วงแรกควรให้ทีละอย่างจะได้รู้ว่าลูกแพ้อาหารชนิดใดจากนั้นจึงค่อยดัดแปลงเมนูให้มีความหลากหลายลูกจะได้รับสารอาหารที่หลากหลาย และครบถ้วน
การเล่นกับเด็กทารก
ที่จริงแล้วยังมีพ่อแม่อีกจำนวนไม่น้อยที่ไม่ค่อยส่งเสริมให้ลูกเล่นสนุกตามวัยด้วยเพราะกลัวจะเกิดอันตรายและกลัวมีเรื่องมีราวกับเด็กอื่นๆ ซึ่งเหล่านี้เป็นเรื่องที่พ่อแม่ควรจะควบคุมด้วยตัวเองอย่าปล่อยให้ลูกไปเล่นไกลหูไกลตาถ้าพ่อแม่จัดคนคอยดูแลด้วยสม่ำเสมอการเล่นของเด็กก็จะไม่เป็นอันตรายอย่างแน่นอน และแม้วันหนึ่งลูกมีเรื่องทะเลาะขัดแย้งกับเด็กคนอื่นๆพ่อแม่ก็สามารถที่จะใช้สถานการณ์นี้สอนให้ลูกเรียนรู้การแก้ไขปัญหาในการขัดแย้งกันได้เมื่อเกิดขึ้นหลังจากที่เล่นสนุกกันแล้วก็ควรจะรู้ที่จะสะสางปัญหาเมื่อทะเลาะกันเองภายในกลุ่มเพื่อนด้วย
ของรางวัลสำหรับลูกรัก
แต่ในขณะเดียวกันเราก็ไม่ควรตามใจลูกด้วยการซื้อของทุกอย่างที่ลูกต้องการให้เขาหรือให้รางวัลกันอย่างพร่ำเพรื่อเกินไปจนเด็กไม่รู้สึกตื่นเต้น และไม่รู้สึกเห็นคุณค่าของสิ่งที่เรียกว่ารางวัล การตั้งรางวัลให้เด็กนั้นมิได้เป็นการสอนให้เด็กทำก็เพื่อแลกกับรางวัล แต่เราจะต้องทำให้ลูกรู้สึกภาคภูมิใจในสิ่งที่ทำลงไปทำให้ลูกรู้สึกตระหนักถึงคุณค่าของสิ่งต่างๆ โดยเริ่มปลูกฝังตั้งแต่เรายังเป็นเด็กเล็กๆ เรื่อยไปจนกระทั่งเขาเติบโตหรือเป็นผู้ใหญ่ต่อไป
เรียนรู้ลูกน้อย
แม้เขาจะยังเล็กอยู่แต่เขาก็มีตัวตนและมีลักษณะนิสัยของเขาที่เราจำเป็นต้องมองหรือสังเกต เด็กบางคนอาจมีลักษณะนิสัยค่อนข้างเงียบ ถ้ารู้จักลูกเราก็อาจที่จะกระตุ้นให้ลูกได้แสดงออกเราได้ส่งเสริมสนับสนุนลูกในเรื่องการแสดงออกให้ถูกทางให้ถูกลักษณะนิสัยที่ลูกสนใจและชื่นชอบ
การเรียนรู้จากนิสัยใจคอและตัวตนแท้จริงจากลูกไม่ใช่เรื่องที่ยากจนเกินไป แต่ไม่ใช่เรื่องที่เรามองข้ามเพราะว่าเราคิดว่าเรารู้จักลูกของเราดีแล้ว แต่ถ้าเราใช้เวลาสังเกตอย่างสม่ำเสมอเราจะได้รู้จักลูกเราออย่างละเอียดทุกมุมมอง ทุกๆ มิติของความเห็นเขา บุคลิกของลูกวิธีคิด ลักษณะนิสัยของเขามีอะไรที่น่าสนใจ เวลาโกรธเวลาเสียใจ เขามักมีทีท่าอย่างไร คำพูดของลูกแต่ละคำแม้เป็นเรื่องเล็กๆน้อยๆ แต่ถ้าเราตั้งใจฟังเราก็จะจับได้ว่าในแต่ละคำของลูกนั้น แสดงออกมาซึ่งความคิด และความรู้สึกอย่างไรบ้าง
การเรียนรู้จากตัวลูกให้มากเราก็จะง่ายต่อการรับมือกับเขา ส่งเสริมสนับสนุนเขาให้สมกับความเป็นตัวเขาโดยไม่ฝืนเพราะความคาดหวังเขาในทางที่ผิด
จินตนาการของเด็ก
เมื่อลูกของเรามีจินตนาการอันกว้างไกลพ่อแม่ควรจะสนับสนุน และใส่ใจกับจินตนาการนั้น ถ้าลูกเล่าเรื่องส่วนตัวของลูกซึ่งไม่มีตัวตนจริงหรือเล่าว่าเห็นไดโนเสาร์ออกมาเล่นกับนกตัวน้อยๆของเขาเราก็ควรเริ่มพูดคุยกับลูกกระตุ้นให้ลูกกล้าแสดงออกความคิดในเชิงจินตนาการ เพราะเด็กๆ ทุกคนมีจินตนาการและความฝันอันแสนประเสริฐมากกว่าผู้ใหญ่อย่างเราจะเข้าใจทั้งๆ ที่ตัวเราเองก็มีจินตนาการในวัยเด็กหรืออาจมีมากกว่าลูกก็เป็นได้
ถ้าแม่บางคนดูลูกว่าพูดจาเกินเลยพูดจาโกหกหรือฝันเฟื่องจนน่ารำคาญ พ่อแม่บางคนปิดโอกาสที่ลูกจะใช้จินตนาการ และความฝันในวัยเยาว์ของเขาซึ่งเป็นส่วนที่น่าส่งเสริมและสนับสนุนที่สุดพราะการที่เด็กมีจินตนาการและความคิดฝันของตัวเองนั้น เป็นสิ่งที่สวยงามที่กระตุ้นพัฒนาการในเชิงความคิดสร้างสรรค์ให้ลูกตั้งแต่เด็กๆ
เด็กที่โตขึ้นมาเป็นเด็กไม่เก่งและไม่มีความสามารถในเชิงการแสดงออก ควรริเริ่มสร้างสรรค์ ไม่ค่อยมีความฝันและความอ่อนหวานในจิตใจ ก็มักจะเป็นเด็กที่ถูกพ่อแม่ดุเมื่อลูกเล่าถึงจินตนาการที่เกินเลยความจริงของตน แล้วต่อไปลูกก็ไม่กล้าเล่าในสิ่งที่เขาคิดฝันอยู่ในใจอีก
เด็กในวัยหนึ่งย่อมมีจินตนาการของเขา ย่อมมีความฝันอันกว้างไกลและเหนือจริงไปหน่อย เราต้องปล่อยให้เขาได้คิดฝันและพูดคุยไปตามนั้น เมื่อเขาเติบดตขึ้นเขาก็มักมีการแสดงออกในส่วนอื่นมากขึ้นจินตนาการที่เกินเลยไม่ใช่เรื่องร้ายแรงอะไรเลย พ่อแม่จึงควรส่งเสริมลูกมากกว่าที่จะไปคิดว่าลูกไร้สาระ จนทำให้เขารู้สึกว่าไม่มีความสุข และเลิกใช้จินตนาการของตัวเองต่อไป